ฐานข้อมูลพันธ์ุพืชอนุรักษ์ภายใต้พื้นที่สงวนชีวิมณทล (ฺBiosphere reserve)
เขตอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

...
ข้อมูลดอยหลวงเชียงดาว

ดอยเชียงดาวตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง ตำบลเมืองงาย ตำบลเมืองคอง ตำบลเชียงดาว และตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ประมาณ 521 ตร.กม. หรือ 325,625 ไร่ (กรมป่าไม้, 2543) ละติจูดที่ 19° 21' ถึง 19° 27' เหนือ และลองติจูด 98° 50' ถึง 98° 58' ตะวันออก ทิศเหนือติดกับดอยนาง ที่มีความสูง 1,861 เมตร ทิศใต้ติดกับดอยกิ่วลม ที่มีความสูง 1,199 เมตร และดอยปางขุนตาล ทิศตะวันตกติดกับดอยผาแดง ที่มีความสูง 1,300 เมตร และดอยแปรสันกลาง ที่มีความสูง 1,624 เมตร ทิศตะวันออกติดกับแอ่งที่ราบเชียงดาว ที่มีความสูงระหว่าง 350-400 เมตร (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, 2548)

ดอยเชียงดาวเป็นภูเขาหินปูนล้วน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัยทางทิศตะวันออก ตอนบนสุดติดต่อกับเทือกเขาแดนลาวที่อยู่เหนือขึ้นไป ดอยเชียงดาวมีความสูง 2,225 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากดอยอินทนนท์ (2,565 เมตร) และดอยผ้าห่มปก (2,225 เมตร) แต่นับได้ว่าดอยเชียงดาวเป็นภูเขาหินปูนที่สูงที่สุดของประเทศไทย

ภูเขาแห่งนี้มีรูปลักษณ์เป็นภูเขาสูงโดดจากพื้นที่โดยรอบ มีบริเวณโดยรอบภูเขาเป็นหน้าผาชัน บางแห่งตั้งฉากกับพื้นผิวโลก อันเกิดจากรอยทรุดตัวในแนวดิ่งและแนวเลื่อนทางตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้แผ่นดินบางแห่งถูกยกสูงขึ้นและบางแห่งทรุดต่ำลงสลับกันไป ถ้ามองจากทางด้านบนจะเห็นรูปเกือกม้าที่หันด้านหน้าไปทิศตะวันออก ปลายเกือกม้าหันสู่ทิศตะวันตก ความกว้างอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ประมาณ 5 กม. ความยาวอยู่ในแนวตะวันออก-ตะวันตก ประมาณ 24 กม. และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลระหว่าง 350-2,225 เมตร ด้านบนมียอดเขาแหลมที่มีความสูงใกล้เคียงกันวางตัวเรียงรายไปตามแนวเกือกม้า ได้แก่ ดอยหลวงเชียงดาว 2,225 เมตร ดอยกิ่วลม 2,140 เมตร ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออก ดอยเหนือหรือดอยพีระมิด 2,175 เมตร และดอยหนอก 2,000 เมตร ตั้งอยู่ปลายเกือกม้าด้านทิศเหนือ ดอยสามพี่น้อง 2,150 เมตร 2,080 เมตร และ 2,060 เมตร และดอยหลวง 2,100 เมตร ตั้งอยู่ปลายเกือกม้าด้านทิศใต้ สภาพพื้นที่ของดอยเชียงดาวมีความลาดชันมากตั้งแต่ 45° ขึ้นไป บางพื้นที่เป็นหน้าผา บางแห่งเป็นลานหินขรุขระและแหลมคมซึ่งเกิดจากรอยเลื่อนของเปลือกโลก ทำให้เกิดหน้าผาหรือพื้นที่ลาดเอียง เมื่อเวลาผ่านไปนาน ชั้นหินถูกกัดกร่อนโดยน้ำฝน ทำให้เกิดลักษณะเป็นสวนหิน ลักษณะการระบายน้ำของดอยเชียงดาวเป็นระบบภายในซึ่งมีพื้นที่ตอนกลางเป็นหุบเขาหรืออ่างสลุงรองรับน้ำจากด้านบนแล้วไหลซึมลงตามรอยแตกของชั้นหินปูนเกิดเป็นหลุมยุบ (Sinkhole) จนถึงโพรงถ้ำเบื้องล่าง เช่น ถ้ำหลวงเชียงดาว ลักษณะเช่นนี้ทำให้บนดอยไม่มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ลำห้วยจะปรากฏเฉพาะบริเวณเชิงเขาที่ระดับต่ำกว่า 900 เมตรลงไป ลำห้วยเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นลำห้วยที่มีน้ำไหลตลอดปีที่ไหลลงสู่แอ่งที่ราบเชียงดาวและแม่น้ำปิงด้านทิศตะวันออก (องค์การสวนพฤกษศาสตร์ (อสพ.), 2541)

พื้นที่ของดอยเชียงดาวตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าเขตร้อน (Savanna) มีฤดูแล้งสลับกับฤดูฝนชัดเจน สภาพภูมิอากาศของดอยเชียงดาวแบ่งเป็น 3 ฤดู ช่นเดียวกับภูมิอากาศในจังหวัดทางภาคเหนือ คือ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม มีปริมาณน้ำฝนที่เชิงดอยเฉลี่ย 1,400 มม. ต่อปี ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดพาความชื้นเข้ามาทำให้มีฝนตกชุก โดยเฉพาะระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ฤดูหนาวและแล้งเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดพาความแห้งแล้งและหนาวเย็นลงมา ทำให้มีสภาพอากาศหนาวถึงหนาวจัด ในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม บางปีเกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งในช่วงเช้าตรู่ ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม มีสภาพอากาศร้อนในเดือนเมษายน แต่บริเวณยอดดอยมีอากาศไม่ร้อนมากเนื่องจากมีระดับความสูงมาก ทิศทางการวางตัวของภูเขา การบดบังแสงกันเอง และความลาดชันของภูเขาทำให้ได้รับแสงไม่เต็มที่ประกอบกับอิทธิพลของลมภูเขาร่วมด้วย อุณหภูมิต่ำสุดและสูงสุดในแต่ละวันที่เชิงดอยอยู่ระหว่าง 21-33 องศาเซลเซียส ในฤดูฝน ในฤดูหนาว อุณหภูมิอยู่ที่ 14-29 องศาเซลเซียส และในฤดูร้อนอุณหภูมิอยู่ที่ 23-35 องศาเซลเซียสอุณหภูมิในช่วงกลางวันจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วโดยเฉพาะในที่โล่งและที่ถูกทำลาย และบางครั้งจะเพิ่มขึ้นถึง 38-40 องศาเซลเซียสในเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานสภาพอากาศที่บนระดับยอดดอย แต่เป็นที่เข้าใจกันว่าในความสูงที่เหนือ 1,000 เมตรขึ้นไป ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในรอบปีจะสูงกว่าที่เชิงดอย ตลอดจนอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดและสูงสุดในแต่ละวันจะต่ำกว่าที่เชิงดอยมาก เนื่องจากเมฆและหมอกที่ปกคลุมซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปที่พบที่ความสูงเหนือ 1,600 เมตรขึ้นไป แต่น้ำค้างแข็งในช่วงเดือนธันวาคมและมกราคมจะไม่พบบ่อยนัก (กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช, 2548)

จากประวัติการศึกษาพรรณไม้บนดอยเชียงดาว Smitinand (1966) กล่าวว่า เริ่มมีการศึกษาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1904-1905 โดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ C. C. Hosseus ต่อมาในปี ค.ศ. 1913, ค.ศ.1921 และปี ค.ศ. 1937 โดยนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษที่เข้ามารับราชการในไทยชื่อ A.F.G. Kerr หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วมีนักสำรวจชาวไทยและชาวต่างชาติขึ้นไปสำรวจตามเส้นทางและฤดูกาลเดิมกับนำสำรวจก่อนหน้านี้ การศึกษาพรรณไม้บนดอยเชียงดาวเริ่มได้รับความสนใจและมีการเก็บตัวอย่างพืชอย่างต่อเนื่องโดยความร่วมมือของนักพฤกษศาสตร์ไทยและนักพฤกษศาสตร์ต่างชาติ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1958 เป็นต้นมาศ.ดร. เต็ม สมิตินันทน์ นับว่าเป็นนักพฤกษศาสตร์ไทยที่มีโอกาสศึกษาและเชี่ยวชาญพรรณไม้บนดอยเชียงดาวมากที่สุด ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1958-1962 เนื่องจากท่านมีโอกาสเข้าร่วมสำรวจกับคณะนักพฤกษศาสตร์ต่างชาติถึง 6 คณะ เป็นจำนวน 6 ครั้ง ในปี ค.ศ. 1958 (2 ครั้ง) ค.ศ. 1959-1960 และ ค.ศ. 1962 (2 ครั้ง)นักพฤกษศาสตร์ต่างชาติที่ท่านทำการสำรวจร่วมด้วยมีดังนี้ ได้แก่ T. Horvald Sorensen, Kai Larsen, Bertel & Birgit Hansen, E. C. & L. Abbe, Ingrid Alsterlund, J. A. R. Anderson, M. E. D. Poore และR. G. Robbins

การศึกษาพรรณไม้บนดอยเชียงดาวปัจจุบันยังคงได้รับความสนใจและมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยนักพฤกษศาสตร์ไทย ได้แก่ ดร. จำลอง เพ็งคล้าย, ศ.ดร. ธวัชชัย สันติสุข, ดร. วีระชัย ณ นคร และนักพฤกษศาสตร์ประจำหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทำให้ในปัจจุบันมีตัวอย่างพรรณไม้ของดอยเชียงดาวเก็บรักษาไว้ในหอพรรณไม้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพรรณพืช (BKF) มากกว่า 4,500 ชิ้น (Pooma, 2004)

สำหรับชนิดป่านั้น ศ.ดร. ธวัชชัย สันติสุข (พ.ศ. 2541) ได้จำแนกชนิดป่าบนดอยเชียงดาวออกเป็น4 ชนิด โดยมีปัจจัยสำคัญ 2 ปัจจัย คือ ปริมาณความชื้นของแต่ละพื้นที่และระดับความสูง ซึ่งปัจจัยสำคัญนี้มีส่วนสัมพันธ์กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ได้แก่ ดิน ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และการรบกวนของมนุษย์

การจำแนกสภาพป่าบนดอยเชียงดาวออกตามแนวตั้งนั้น ไม่ใช่เกี่ยวกับความสูงอย่างเดียว แต่พิจารณาจากองค์ประกอบของพรรณพืชในแต่ละสังคมพืชหรือสภาพป่าประกอบกันไป ได้แก่

1. พรรณพืชที่ขึ้นอยู่ต่ำกว่าระดับ 1,000 เมตร เรียกว่า ป่าลุ่มต่ำ (Lowland vegetation) ประกอบด้วยป่าดิบแล้ง (Seasonal rain forest) และป่าเบญจพรรณ (Mixed deciduous forest) เชิงดอยเชียงดาวที่มีความชื้นและหุบเขาที่ลุ่มต่ำจะปกคลุมไปด้วยป่าดิบแล้ง ขณะที่พื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นน้อยกว่า หรือพื้นที่ลาดชันที่เปิดโล่งจะปกคลุมด้วยป่าเบญจพรรณที่มีไม้สัก ป่าทั้งสองชนิดนี้ขึ้นปกคลุมจนถึงระดับความสูงประมาณ 900 เมตร สังเกตได้จากชนิดของพรรณพืชที่เป็นองค์ประกอบของป่าดิบลุ่มต่ำทั่วไป เช่น พืชในวงศ์กระดังงา วงศ์ไม้รัก วงศ์ตะแบก วงศ์ไม้เลื่อน วงศ์ไทร วงศ์กำลังเลือดม้า วงศ์จำปาเทศ วงศ์ผกากรอง วงศ์ขิง ฯลฯ

2. ป่าที่อยู่เหนือระดับ 1,000 เมตรขึ้นไป เรียกว่า ป่าดิบเขา (Montane vegetation) และยังแบ่งออกเป็นป่าดิบเขาระดับต่ำ (Lower montame rain scrub) อยู่บริเวณหุบเขาที่ชื้นหรือบริเวณที่เป็นแอ่งบนระดับความสูงตั้งแต่ 1,000-1,900 เมตร มีกลุ่มของป่าดิบเขาระดับต่ำที่มีเรือนยอดชิดกันหนาแน่น ป่าดิบเขาไม้ก่อ (Lower montane oak forest) มีเรือนยอดค่อนข้างโปร่งกว่า ป่าเหล่านี้จะขึ้นอยู่ตามพื้นที่ลาดชันที่เป็นเขาหินปูนที่แล้งกว่า บนพื้นที่ระดับความสูง 1,200 -1,900 เมตร จะปรากฏพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ถูกทิ้งร้างเป็นหย่อมๆ ทั่วไป ทำให้เกิดป่ารุ่นหรือป่าอ่อนใสที่มีอายุต่าง ๆ กัน ตั้งแต่เป็นหย่อมของทุ่งหญ้าจนถึงพืชเบิกนำที่เป็นไม้ต้นสูงขึ้นอยู่ทั่วไป และป่าละเมาะเขาสูง (Upper montane scrub) บริเวณยอดดอยจะเห็นยอดแหลมของเขาหินปูนโผล่อยู่ทั่วไปในระดับ 1,900-2,190 เมตร อันเป็นป่าเอกลักษณ์และเป็นพื้นที่เปราะบางของดอยเชียงดาว มีคุณค่าแก่การศึกษาทั้งทางด้านพฤกษศาสตร์และนิเวศวิทยา สภาพป่าเป็นป่าดิบเขาเปิดโล่ง พบตามสันเขาของยอดดอย บริเวณยอดดอยนี้จะไม่ปรากฏชั้นดินชัดเจน แต่จะมีพืชพรรณของเขตอบอุ่นอยู่หลายชนิด พืชเด่นเหล่านี้เป็นพืชล้มลุกและไม้พุ่มเตี้ยที่ขึ้นตามซอกหิน หรือรอยแตกของหินที่มีมอสส์สะสม ปรากฏความสวยงามในแบบสวนหินธรรมชาติ อันเป็นรูปแบบของสังคมพืชเขตอัลไพน์และกึ่งอัลไพน์ บนพื้นที่ระดับสูง ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันและรุนแรงของสภาพแวดล้อม เช่น มีเมฆปกคลุมตลอดเวลา ฝนตก น้ำค้างแรง ลมแรง เย็นจัด เช่นนี้เป็นผลทำให้พืชกึ่งอัลไพน์และอัลไพน์ขึ้นอยู่ในความสูงระดับนี้ได้ เช่น พืชวงศ์พวงแก้วกุดั่น วงศ์เจอราเนียมซี วงศ์พริมโรส วงศ์คาเนชั่น วงศ์ปาล์ม วงศ์มะเดื่อ เป็นต้น ป่าดิบเขาจะมีพรรณไม้เด่นเป็นกลุ่มพืชเขตอบอุ่นหรือกลุ่มพืชป่าดิบเขา เช่น พืชในวงศ์ไม้ก่วม วงศ์กำลังเสือโคร่ง วงศ์มะขามป้อม วงศ์กุหลาบป่า วงศ์ก่อ วงศ์ดอกหรีดเขา วงศ์ค่าหด วงศ์อบเชย วงศ์ลิลี วงศ์พวงแก้วกุดั่น วงศ์กุหลาบ วงศ์ชา ฯลฯ (กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช, 2548)


พันธุ์พืชอนุรักษ์บนพื้นที่สงวนชีวมณฑล อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

1. กลุ่มพันธุ์พืชที่มีสถานภาพเป็นพืชถิ่นเดียวที่พบเฉพาะบนดอยเชียงดาว (Endemic to Doi Chiang Dao) เท่านั้น มีทั้งหมด 6 ชนิด แบ่งเป็นพืชถิ่นเดียวที่พบได้บริเวณป่าละเมาะเขาสูง (Upper montane scrub) จำนวน 4 ชนิด ได้แก่ ERICACEAE (วงศ์กุหลาบป่า), GENTIANACEAE (วงศ์ดอกหรีดเขา), PALMAE (วงศ์ปาล์ม) และ RANUNCULACEAE (วงศ์พวงแก้วกุดั่น) นอกจากนี้มีพันธุ์ไม้ที่เป็นพืชถิ่นเดียวที่พบได้บริเวณป่าดิบเขาระดับต่ำ (Lower montane rain forrest) จำนวน 1 ชนิด คือ BALSAMINACEAE (วงศ์เทียนดอก) และพันธุ์ไม้ที่เป็นพืชถิ่นเดียวที่พบได้บริเวณป่าดิบเขาระดับต่ำที่มีไม้ก่อ (Lower montane oak forrest) จำนวน 1 ชนิด คือ UMBELLIFERAE (วงศ์ผักชี)

กุหลาบขาวเชียงดาว

...

ชื่ออื่น : คำขาวเชียงดาว กุหลาบขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rhododendron ludwigianum Hosseus

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้พุ่มสูง 1-2 เมตร พบที่ระดับความสูง 1,900-2,190 เมตร ตามที่โล่งบนซอกหินตามเขาหินปูน ลำต้นและกิ่งคดงอ แตกกิ่งระเกะระกะจากโคนต้น ใบเดี่ยวรูปรีแกมรูปไข่กลับ ผิวใบเข้มเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อสั้นๆ ที่ปลายกิ่ง กลีบดอกติดกันคล้ายรูประฆัง สีขาวนวล ปลายแยกเป็น 5 กลีบ โคนกลีบด้านในมีแต้มสีเหลือง

สถานภาพ : พืชถิ่นเดี่ยว

ดอกหรีดเชียงดาว

...

ชื่ออื่น : -

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gentiana Leptoclada Balf. f. & Forrest ex Forrest subsp. Australis (Craib) Toyok

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ล้มลุก กึ่งเลื้อยขนาดเล็ก สูง 40-80 ซม. อยู่บนพื้นที่สูงมากกว่า 1,900 เมตรขึ้นไป ใบรูปไข่ โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ดอกสีม่วงอมฟ้า ออกเป็นกระจุก 15 ดอก ที่ปลายยอดและซอกใบ ปลายแยกเป็น 5 แฉกแหลม กลีบดอก 5 กลีบ ปลายตัดเป็นซี่แหลม

สถานภาพ : พืชถิ่นเดี่ยว

ค้อเชียงดาว

...

ชื่ออื่น : ค้อดอย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Trachycarpus oreophilus Gibbons & Spanner

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

วงศ์ปาล์มชนิดหนึ่ง พบที่ป่าละเมาะเขาสูง บนความสูง 1,800-2,200 เมตร กระจายพันธุ์มาจากเทือกเขาหิมาลัย เมื่อพบกับอุณหภูมิ ความชื้นที่เหมาะสมจึงเติบโตได้บนดอยเชียงดาวเท่านั้น ขึ้นเป็นต้นสูง 5-10 เมตร ลำต้นเส้นผ่านศูนย์กลาง 10–20 ซม. กาบใบยาว ใบรูปฝ่ามือ ใบย่อยแฉกลึกเกินกึ่งหนึ่ง 60–90 แฉก ปลายจักตื้น ๆ ด้านล่างมีนวล ก้านใบยาว โคนก้านรูปสามเหลี่ยม ขอบก้านใบจักซี่ฟัน ช่อดอกมี 3–5 ช่อ มีกาบประดับและใบประดับที่ก้านช่อและแกนช่อ

สถานภาพ : พืชถิ่นเดี่ยว

ม่วงเชียงดาว

...

ชื่ออื่น : -

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thalictrum siamense T. Shimizu

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ล้มลุก ขึ้นบริเวณป่าละเมาะเขาสูง ตามซอกหินปูน ใบประกอบ ยกเว้นใบตามลำต้นที่ปลายอาจเป็นใบเดี่ยว ดอกสีม่วง กลีบเลี้ยง 4 กลีบ ร่วงง่าย ไม่มีกลีบดอก เกสรเพศผู้จำนวนมาก ก้านชูอับเรณูรูปกระบอง สีขาว ปลายมีอับเรณูสีม่วง ดอกบานหน้าฝน

สถานภาพ : พืชถิ่นเดี่ยว

เทียนนกแก้ว

...

ชื่ออื่น : -

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Impatiens psittacian Hook.f.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ล้มลุก ที่ระดับความสูง 600-1,700 เมตร ดอกมีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายนกแก้ว ดอกสีม่วงแกมชมพู และขาว ดอกเป็นรูปหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ต้นเทียนนกแก้วจะออกดอกช่วงเดือนสิงหาคม ถึงเดือนธันวาคม เทียนนกแก้วถือเป็นพืชเฉพาะถิ่น เพราะในประเทศไทยสามารถพบเทียนนกแก้วได้ที่ดอยหลวงเชียงดาวเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากมีลักษณะภูมิประเทศ สภาพอากาศ รวมถึงค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินที่เหมาะสมเพียงแห่งเดียว จึงทำให้เทียนนกแก้ว หาชมได้ยาก และเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ได้ง่าย

สถานภาพ : พืชถิ่นเดี่ยว

อีเปา

...

ชื่ออื่น : มะแหลบเชียงดาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Peucedanum siamicum Craib

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

พืชล้มลุก พบที่ระดับความสูง 1,800-2,100 เมตร เป็นพืชถิ่นเดียว พบบริเวณป่าดิบเขาระดับต่ำที่มีไม้ก่อ พื้นที่โล่งที่ทิ้งร้างจากการทำไร่เลื่อนลอย หรือตามเทือกเขาหินปูน ลำต้นสูง 40-60 ซม. ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม ออกที่ซอกใบหรือปลายยอด แต่ละกลุ่มมี 18-24 ดอก ดอกขนาดเล็กสีเหลือง ลักษณะเป็นรูปถ้วย ไม่มีกลีบเลี้ยง กลีบดอกสั้นกว่า 1 มม. ผลมีลักษณะเป็นก้อนมีสันตื้น ผิวเกลี้ยง เมื่อขยี้ผลมีกลิ่นหอม ดอกออกและผลประมาณเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน

สถานภาพ : พืชถิ่นเดี่ยว

2. กลุ่มพันธุ์พืชที่ชาวบ้านอนุรักษ์ไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภค มีทั้งหมด 14 วงศ์ 16 ชนิด อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE (วงศ์ยางพารา) มากที่สุด คือ 2 ชนิด และอยู่ในวงศ์ LAURACEAE (วงศ์อบเชย) มี 2 ชนิด วงศ์เดียวอีก 12 ชนิด ได้แก่ วงศ์ GRAMINEAE-BAMBUSOIDEAE (วงศ์ย่อยไผ่), DIPTEROCARPACEAE (วงศ์ยางนา), ANACARDIACEAE (วงศ์มะม่วง), ARALIACEA (วงศ์เล็บครุฑ), ARECACEAE (วงศ์ปาล์ม), LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE (วงศ์ย่อยสีเสียด), MORACEAE (วงศ์ขนุน), OPILIACEAE (วงศ์ผักหวาน), ROSACEAE (วงศ์กุหลาบ), RUTACEAE (วงศ์ส้ม), SIMAROUBACEAE (วงศ์ปลาไหลเผือก) และ ZINGIBERACEAE (วงศ์ขิง)

ตองเต๊า

...

ชื่ออื่น : ตองเต้า เต๊าขน ปอเต๊า (ภาคเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mallotus barbatus Mull. Arg.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้พุ่ม สูง 6-8 เมตร ที่ระดับความสูง 600 เมตร ใบเดี่ยวรูปไข่ป้อมหรือค่อนข้างกลม โคนใบกลม ขอบใบจักซี่ฟัน ผิวใบด้านล่างมีขน ผลแห้งแก่แล้วแตกตามพู มีขนรูปดาวสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดสีดำ เป็นมัน

การใช้ประโยชน์

เปลือกต้น ลอกออกแล้วใช้ทำเชือกมัดฟืน เนื้อไม้ ใช้ทำฟืน ลำต้น ใช้ทำรั้ว ใบถือเป็นไม้มงคล ใช้รองก้นหลุมที่จะตั้งเสาบ้าน เชื่อว่าจะทำให้ค้าขายดี เป็นศิริมงคล หรือใช้ห่ออาหารแล้วนำไปหมกไฟทำให้มีกลิ่นหอม กิ่งที่เป็นง่าม ใช้เป็นไม้ค้ำต้นสลี (ต้นโพธิ์) ในพิธีสืบชะตาของชาวล้านนา



มะเม่า

...      ...

ชื่ออื่น : มะเม่าดง หมากเม่า บ่าเหม้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Antidesma bunius (L.) Spreng var. bunius

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้พุ่ม ที่ระดับความสูง 1,020 เมตร ไม้ต้น ลำต้นมักมีร่องและพูพอน มีขนสั้นนุ่มสีน้ำตาลแดงประปรายหรือหนาแน่นตามกิ่งอ่อน หูใบ ก้านใบ แผ่นใบด้านล่าง ใบประดับ และกลีบเลี้ยง ใบเรียงเวียน รูปรีถึงรูปใบหอกหรือแกมรูปไข่กลับ ปลายแหลมยาว โคนแหลมหรือกลม ก้านใบสั้นหรือยาวกว่า 1 ซม. ช่อดอกคล้ายช่อกระจายออกตามซอกใบ ใบประดับขนาดเล็ก แต่ละใบประดับมีดอกเดียว ไร้ก้าน กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเกินกึ่งหนึ่ง ปลายแยกเป็น 3 กลีบ ปลายมนกลม ไม่มีกลีบดอก ผลแก่สีแดงเปลี่ยนเป็นสีดำ ส่วนมากมีเมล็ดเดียว

การใช้ประโยชน์

มะเม่า นับได้ว่าเป็นอาหารสมุนไพร ใบอ่อนเด็ดมาเป็นผักทานได้ หรือนำใบมะเม่ามาใส่ในแกงเห็ดถอบ จะทำให้แกงมีรสชาติอร่อยขึ้น ใบมะเม่า คนใช้แรงงานมักจะนำมาเคี้ยวกินเล่น ให้มีกำลัง มีแรง สดชื่น หรือใช้เป็นผักปรุงรสแกงเผ็ด แกงฟัก แกงอ่อม

ตะไคร้ต้น

...      ...

ชื่ออื่น : จ๊ะไคต้น ตะไคร้ดอย ตะไคร้ภูเขา พริกไทยป่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Litsea cubeba (Lour.) Pers.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

พบที่ระดับความสูง 1,400-1,500 เมตร มีกลิ่นคล้ายตะไคร้ผสมมะนาว มะกรูด กลิ่นหอมสดชื่น ลำต้นตอนยังอ่อนมีเปลือกสีเขียว เมื่อต้นแก่จะมีสีน้ำตาลปนเทา ใบเดี่ยวออกเรียงแบบสลับขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ดอกออกเป็นช่อบริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง ดอกแก่สีเหลืองอมน้ำตาล ผลขนาดเล็กเกือบ 1 ซม. มีลักษณะผลกลมสีเขียว เมื่อแก่จัดเป็นสีม่วงเข้ม ผลแก่ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม

การใช้ประโยชน์

มีรสเผ็ดซ่า รับประทานได้ทั้งผลดิบและสุก โดยนำเม็ดมาดอง ชาวเขานิยมนำผลตะไคร้ต้นมาใช้เป็นเครื่องเทศในการปรุงอาหาร หรือกินกับลาบเพื่อดับกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ ช่วยเพิ่มความหอม รวมถึงช่วยปรุงรสให้อร่อยขึ้น ใช้ดองกับน้ำผึ้งป่ากิน ปัจจุบันมีการใช้ราก กิ่ง แก่น ลำต้น ดอก และผลแห้งมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ได้น้ำมันสีน้ำตาลอ่อน มาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสำหรับแต่งกลิ่น เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง ใช้ทานวดเพื่อบรรเทาอาการเมื่อยล้า



ต้นฮังแกง

...      ...

ชื่ออื่น : ต้นแมงดา ต้นทำมัง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Litsea Petiolata Hook.f.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน ค่อนข้างเรียบ หรือแตก เป็นสะเก็ดเล็กบางๆ และมีรอยด่างสีขาวกระจายทั่วไป ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรี ปลายใบ เรียวแหลมเป็นติ่ง โคนใบสอบเรียบ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบบางแต่ค่อนข้างเหนียวและย่นเป็นลอน สีเขียวสดเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีเขียวนวล ดอก สีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุก ที่กิ่งแก่ขนาดเล็ก กระจุกละ 6-8 ดอก ดอกตูมทรงกลม ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว ทรงกลมรีหรือรูปไข่ สีเขียวเข้ม เมื่อสุกสีน้ำเงินเข้ม

การใช้ประโยชน์

ต้นฮังแกง ใบมีกลิ่นเหมือนแมงดา จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกนี้ ใบอ่อนนำมาเป็นผักจิ้ม ใบแก่ เปลือกนำมาแกงหรือตำกับน้ำพริก มีลักษณะคล้ายอบเชย ใบ เปลือก ผล ใช้ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงเลือด ลำต้น ในอดีตนิยมนำลำต้นมาทำเป็นไม้กระดาน เพราะเป็นไม้เนื้อแข็ง ปลวกหรือมอด จะไม่กัดกิน

ไผ่ป่า

...      ...      ...      ...

ชื่ออื่น : ไผ่หนาม ไผ่รวก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bambusa bambos (L.) Voss

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไผ่ขนาดใหญ่ กอแน่น มีหนาม และมีแขนงรกแน่น โดยเฉพาะตรงบริเวณโคน สูงประมาณ 10-24 ม. ปล้องยาวประมาณ 20-40 ซม. เนื้อหนา 1-5 ซม. ลำอ่อนมีสีเขียว ลำแก่จะมีสีเขียวเหลือง ข้อมีลักษณะบวมเล็กน้อย รูกระบอกเล็ก กาบหุ้มลำลักษณะแข็งเหมือนหนัง ร่วงหลุดได้ง่าย ตอนปลายกลม ขอบเรียบและมีขนสีทอง ลำใหญ่กว้าง กระจับกาบหุ้มลำแคบ ใบยอดกาบเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือเกือบกลม ท้องใบมีขน เส้นกลางใบข้างบนแบน ก้านใบสั้น ครีบใบเล็ก ขอบใบมีหนามเล็กๆ กาบใบแคบไม่มีขนนอกจากตามขอบอาจจะมีขนอ่อน ออกดอกเป็นกลุ่ม

การใช้ประโยชน์

นำหน่อไม้มาประกอบอาหาร ลำต้นทำข้าวหลาม แต่เดิมการใช้ประโยชน์จากไผ่ป่าก็จะนำมาสร้างบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย ทำแพ และขาย แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่แล้วใช้ประโยชน์ในลักษณะของการหาหนอนรถด่วนมาทำอาหาร หรือจำหน่าย การนำมาเป็นสมุนไพรรักษาอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยนำมาตำแล้วพอกบริเวณบาดแผล ซึ่งการนำไผ่ป่ามาใช้จะต้องมีการขออนุญาตทุกครั้งเนื่องจากเป็นพื้นที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ ดังนั้นจึงให้ใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น นอกจากนี้ ต้นไผ่ส่วนมากออกดอกครั้งเดียว หลังจากออกดอกแล้วก็จะตายทั้งกอในปีเดียวกันนั้น หรืออย่างช้าก็อาจจะอยู่ได้ราว 1-2 ปี ภายหลังการออกดอกเท่านั้น การตายของต้นไผ่ชาวบ้านเรียกว่า “ตายขุย” แต่พอถึงฤดูฝน ขุย (เมล็ด) ไผ่นี้จะแตกเป็นต้นเล็กๆ ขึ้นมา เจริญเติบโตเป็นกอไผ่ต่อไป คนสมัยก่อนจะเก็บเมล็ดไผ่ที่ร่วงมาร่อนเอาเศษเปลือกเศษผง เศษดอกออก แล้วเอาไปหุงรับประทาน เรียกว่า “ข้าวขุยไผ่” หรือนำไปผสมกับข้าวสารแล้วหุงพร้อมกันเพื่อให้ได้ปริมาณอาหารเพิ่มขึ้น

ยางแดง

...      ...

ชื่ออื่น : ยางแคง ยางใบเลื่อม ยางหนู ยางหยวก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dipterocarpus turbinatus C.F. Gaertn.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ต้น สูงถึง 30 เมตร ที่ระดับความสูง 500-700 เมตรใบเดี่ยว เรียงแบบเวียน รูปไข่ หรือรูปไข่แกมรูปรี ช่อดอกแบบแยกแขนง ออกที่กิ่งใต้บริเวณที่มีใบ ดอกสีแดงอมชมพู ผลมีปีกขนาดใหญ่ 2 ปีก ปีกรูปแถบ ยาว 12-15 ซม. ตัวผลรูปไข่ หรือทรงรี ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม

การใช้ประโยชน์

ยางแดงเป็นไม้เนื้อแข็ง ทนทานต่อการพุพังปานกลาง ได้เนื้อไม้ปริมาณมาก แปรรูปก่อสร้าง การใช้ประโยชน์ทั่วไปจะคล้ายไม้ยางนา แต่ไม้ยางแดงจะค่อนข้างแข็งและทนทานกว่า อย่างไรก็ตาม ที่ดอยเชียงดาว ไม้ยางถือเป็นไม้อนุรักษ์ของพื้นที่แห่งนี้ เพราะมักมีเห็ดถอบเกิดบริเวณใต้ต้นยางแดง ซึ่งเห็ดถอบถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นไม้ห้ามตัด แม้หักโค่นก็จะปล่อยให้เน่าเป็นปุ๋ย ลักษณะของยางแดงเมื่ออายุมาก ด้านในเนื้อไม้จะเป็นโพรง

มะกอกป่า

...      ...

ชื่ออื่น : กอกกุก กูก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Spondias pinnata (L.f.) Kurz

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ต้น พบที่ความสูง 5-500 เมตร ถือเป็นพืชอนุรักษ์ ใบประกอบ แบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี โคนใบกลม มน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวเรียบ เกลี้ยง เป็นมันเงาดอกช่อ แบบช่อแยกแขนง ออกตามปลายกิ่ง ดอกย่อยจำนวนมาก ผลเดี่ยว แบบผลสดมีเนื้อ ลักษณะคล้ายรูปไข่ รูปรี หรือค่อนข้างกลม เนื้อผลสีเหลืองอมเขียว เมล็ดแข็ง รูปรี ปลายแหลม จำนวน 1 เมล็ด โครงสร้างของเม็ดรอบนอกเป็นเปลือกเหมือนร่างแหเพื่อให้อากาศและเก็บน้ำไว้ในเปลือก เมื่อพร้อมขยายพันธุ์จะมีรสเปรี้ยว หวาน ฝาด หลอกล่อให้สัตว์กินเพื่อให้เมล็ดพันธุ์กระจายออกไป

การใช้ประโยชน์

ยอดอ่อนใช้รับประทานสดเป็นผักเคียง หรือใช้ประกอบอาหาร ผลสุกมีรสเปรี้ยว ใส่ในส้มตำ นํ้าพริก และยำ เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้าน และเป็นพืชอาหารสำคัญของสัตว์ป่า

ต้างหลวง

...      ...

ชื่ออื่น : ต้างดอย ต้างป่า ต้างผา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Trevesia palmata (Roxb. Ex Linld.) Vis

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้น ที่ระดับความสูง 700-1,500 เมตร มักขึ้นตามป่าชุ่ม ขึ้นตามลุ่มน้ำหรือตามลำห้วย ลักษณะลำต้นจะมีน้ำ ลำต้น กิ่งก้าน และเส้นใบมีหนามแหลมปกคลุม ใบเดี่ยวออกเวียนสลับหนาแน่นที่ปลายยอด รูปโล่ ขอบใบจักฟันเลื่อย ก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบใกล้ปลายยอด รูปร่างกลมรี ติดกันเป็นกระจุกกลม กระจุกละ 30-50 ดอก ช่อหนึ่งมีหลายกระจุก สีเหลืองอมเขียว ผลมีเนื้อ รูปกรวยคว่ำ มีสามพู เมล็ดแบน

การใช้ประโยชน์

ดอกสามารถนำมารับประทานได้โดยนำมาลวกรับประทานกับน้ำพริก เป็นส่วนประกอบของแกงแค หรือแกงใส่ปลาแห้ง หรือนำมาตำแล้วผัดผสมกับถั่วเน่า

ตาว

...      ...

ชื่ออื่น : ตาว ต๋าว มะต๋าว ชิด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Arenga pinnata (Wurmb) Merr.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นแบบต้นเดี่ยวที่มีอายุยืน ลักษณะลำต้นตรงสูงชะลูด มีหลายขนาด ลำต้นมีขนาดใหญ่กว่าต้นตาล ลำต้นมีสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ มักพบขึ้นตามป่าที่มีความชื้นสูง หรือตามริมแม่น้ำลำธาร ใบตาว ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน มีลักษณะเช่นเดียวกับใบมะพร้าว แต่จะใหญ่และแข็งกว่า หลังใบเป็นสีเขียวเข้มมันวาว ส่วนใต้ใบมีสีขาวนวล เมื่อใบแก่จะห้อยจนปิดคลุมลำต้น ดอกตาว ออกดอกเป็นช่อ เป็นช่อดอกเชิงลดขนาดใหญ่ สามารถออกดอกได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต (ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มปลูกจนออกดอกประมาณ 15-20 ปี) ผลตาว ออกผลเป็นกลุ่มเป็นทะลาย ลักษณะของผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน ส่วนผลแก่มีสีเหลืองและสีดำ หรือสีม่วงเข้มจนถึงสีดำ ส่วนเมล็ดมีสีขาวขุ่น มีลักษณะนิ่มและอ่อน ในแต่ละผลจะมี 2-3 เมล็ด เมล็ดอ่อนมีสีขาว ส่วนเมล็ดแก่มีสีดำ สาเหตุที่เรียกว่า “ลูกชิด” เนื่องจากในแต่ละผลจะมีเมล็ดเรียงชิดกันอยู่

การใช้ประโยชน์

ตาว สามารถใช้รับประทานได้เกือบทุกส่วน ตั้งแต่หน่ออ่อน เนื้อในเมล็ด ลูกชิด ยอดอ่อน ยอดของลำต้น แกนในของลำต้นอ่อน งวงตาวหรือดอกตาว สามารถนำส่วนต่างๆ มาทานสด แกง ต้ม เชื่อม นึ่ง ดอง หมักทำสุรา ทำไวน์ ฯลฯ ลำต้นนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์การเกษตร ใบแก่นำมามุงหลังคา กั้นฝาบ้าน ประดับตกแต่ง ก้านใบทำเป็นไม้กวาด เป็นฟืน ฯลฯ

ไม้แดง

...      ...

ชื่ออื่น : ผ้าน คว้าย ไคว เพร่ เพ้ย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Xylia xylocarpa (Roxb.) Taub var. kerrii (Craib & Hutch.) I.C.Nielsen

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ที่ระดับความสูง 600 เมตร เป็นไม้เนื้อแข็ง ลำต้นแดงค่อนข้างเปลาตรงหรือเป็นปุ่มปม ลักษณะของต้นเป็นทรงเรือนยอดรูปทรงกลม มีสีเขียวอมแดง เปลือกต้นเรียบสีเทาอมแดง มีตกสะเก็ดออกเป็นแผ่นกลมบาง ๆ รอบลำต้น และเมื่อสับเปลือกทิ้งไว้จะได้ชันที่มีสีแดง ส่วนยอดอ่อนมีขนสีเหลืองปกคลุมอยู่ เนื้อไม้มีสีแดงเรื่อ ๆ หรือเป็นสีน้ำตาลอมแดง มีเสี้ยนเป็นลูกคลื่น เนื้อไม้ละเอียดพอประมาณ มีความแข็งแรง เหนียว และทนทานมาก สามารถเลื่อยไสกบ ตบแต่งได้เรียบร้อย ขัดชักเงาได้ดี

การใช้ประโยชน์

ไม้แดงเป็นไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรง มีความทนทานต่อการกระแทกสูง เพรียงและปลวกไม่ค่อยทำลาย และเป็นไม้ที่ทนไฟในตัว การใช้ประโยชน์จากไม้แดงจึงนิยมนำมาใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน เช่น ใช้ทำเสาบ้าน กระดานพื้น ฝา หรือจะนำมาทำเรือ ทำสะพาน ทำหมอนรางรถไฟ ใช้ทำด้ามเครื่องมือต่าง ๆ ไม้คาน ทำคันไถ คราด ครก สาก กระเดื่อง ทำส่วนต่าง ๆ ของเกวียน ฯลฯ หรือนำมาใช้ในงานแกะสลัก ทำเครื่องเรือนและไม้บุผนังให้มีความสวยงาม และเหมาะสมในการทำเป็นถ่านและไม้ฟืนได้ดี เพราะไม้แดงมีกิ่งก้านมากพอสมควร

มะนอด

...      ...

ชื่ออื่น : มะน๊อด มะเดื่อปล้องหิน เส่อดุย (ภาษากะเหรี่ยง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus semicordata Buch-Ham. Ex J.E.Sm.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้น ที่ระดับความสูง 1,000-1,200 เมตร หูใบยาว โอบหุ้มกิ่ง ร่วงเร็ว ใบเรียงสลับระนาบเดียว รูปรีถึงรูปใบหอก หรือแกมรูปไข่กลับ โคนเบี้ยว ด้านหนึ่งรูปหัวใจกว้าง คลุมก้านใบ ขอบใบจักซี่ฟัน แผ่นใบมีขนสากและขนสั้นนุ่มสีน้ำตาลหนาแน่นด้านล่าง ดอกอยู่ภายในฐานดอกที่ขยายออกตามกิ่งที่ไม่มีใบหรือออกจากไหลที่โคนต้น มีขนหนาแน่น ผลสุกภายในสีขาวมีลักษณะผลแบบมะเดื่อ ผลออกตามลำต้นบนกิ่งเรียวยาวคล้ายแส้ไม่มีใบ บางครั้งไหลทอดไปตามพื้นดิน

การใช้ประโยชน์

สามารถรับประทานส่วนของผลสุกมีแดง มีรสหวาน ส่วนผลดิบรับประทานกับน้ำพริก

ผักหวานป่า

...      ...

ชื่ออื่น : ผักหวาน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Melientha suavis Pierre

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบเรียงสลับระนาบเดียว รูปรี ช่อดอกคล้ายช่อแยกแขนง ออกเป็นกลุ่มตามลำต้น กิ่ง หรือซอกใบ ใบประดับรูปไข่ขนาดเล็ก ดอกเพศผู้ไร้ก้าน ออกเดี่ยว ๆ หรือเป็นกระจุก 3–5 ดอก ช่วงปลายกิ่ง เกสรเพศผู้ 4–5 อัน ติดที่โคนกลีบ ก้านชูอับเรณูสั้นมาก อับเรณูสีเหลือง ดอกเพศเมียออกเดี่ยว ๆ บนแกนช่อ กลีบรวมยาวประมาณ 1 มม. เกสรเพศผู้ที่เป็นหมันขนาดเล็กติดระหว่างพูจานฐานดอก เกสรเพศเมียไร้ก้าน ผลผนังชั้นในแข็งมีเมล็ดเดียว รูปรี สุกสีเหลือง เนื้อด้านในสด

การใช้ประโยชน์

เป็นผักพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในพื้นที่ทางภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นื่องจากเป็นผักที่มีรสชาติหวานอร่อย สมัยก่อนชาวบ้านจะรับประทานในบางช่วงฤดูกาลเท่านั้น คือในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน และส่วนใหญ่จะเก็บมาจากป่า แต่ในปัจจุบันได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกผักหวานป่าเพื่อการค้ากันมากขึ้น นิยมใช้ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน และผลอ่อนมารับประทานเป็นผัก โดยอาจนำมาลวกให้สุกแล้วใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ลาบ ใช้เป็นเครื่องเคียง หรืออาจนำไปผัดน้ำมัน หรือนำมาใช้ประกอบอาหารในเมนูต่าง ๆ ได้แก่ แกงผักหวานป่าใส่ไข่มดแดง แกงเลียง แกงส้ม แกงอ่อม แกงปลา แกงกะทิสด แกงคั่ว ต้มจืด ฯลฯ

นางพญาเสือโคร่ง

...      ...

ชื่ออื่น : ชมพูภูพิงค์

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Prunus cerasoides D. Don

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ยืนต้น ผลัดใบ ที่ระดับความสูง 1,500-2,000 เมตร นางพญาเสือโคร่งเปลือกเรียบเป็นมัน เปลือกบางสีเหลืองน้ำตาล หลุดลอกง่าย ดอกมีสีขาว ชมพู ออกเป็นช่อกระจุกใกล้ปลายกิ่ง ช่วงที่ออกดอกจะทิ้งใบก่อนออกดอกประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ผล รูปไข่หรือกลม ยาว 1 - 1.5 เซนติเมตร

การใช้ประโยชน์

เมื่อสุกสีแดงรับประทานได้ มีรสเปรี้ยว ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ซึ่งปัจจุบันมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ขึ้นไปชมดอกพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยบานอยู่หลายแห่ง เช่น ที่ขุนช่างเคี่ยน ขุนวาง ดอยอินทนนท์

มะแขว่น

...     

ชื่ออื่น : มะแข่น มะข่อง พริกหอม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zanthoxylum limonella (Dennst.) Alston

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ที่ระดับความสูง 800-1,000 เมตร ลำต้นมีเปลือกสีเทาอมขาว กิ่งมีตุ่มหนามแหลม ใบเรียงสลับแบบขนนกชั้นเดียว มีใบย่อย มีก้านย่อยสีแดง ใบย่อยรูปรีดอกออกเป็นช่อบริเวณปลายยอดหรือก้านซอกใบ ช่อดอกย่อยจำนวนมาก ตัวดอกออกเป็นกระจุกโดยผลมีรูปร่างกลม ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 0.3-0.5 ซม. เปลือกของผลสีเขียว เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือน้ำตาลเข้ม เป็นมัน กลิ่นหอมฉุน รสเผ็ดซ่า ผลแห้งเปลือกเป็นสีน้ำตาลและแตกอ้า 2 ซีก เห็นเมล็ดที่เป็นสีดำเป็นมัน ขนาด 0.25-0.35 ซม.

การใช้ประโยชน์

มะแขว่น เป็นเครื่องเทศสำคัญของชาวล้านนา ชาวล้านนานำผลและเมล็ดแห้งมาเป็นเครื่องเทศและปรุงรสอาหาร โดยนำมาเป็นส่วนผสมของพริกลาบหรือพริกแกงในอาหารพื้นเมืองต่าง ๆ เนื่องจากมีกลิ่นหอมแรงและมีรสเผ็ดร้อน ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ และเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อย อาหารที่นิยมใส่มะแขว่น ได้แก่ ลาบ ยำไก่ แกงผักกาด แกงฟักใส่ไก่ แกงแค และแกงอ่อม ส่วนใบและยอดอ่อนสามารถนำมารับประทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริกและลาบ เป็นต้น

คนทา

...     

ชื่ออื่น : ไม้จี้ หนามจี้ จี้หนาม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Harrisonia perforate (Blanco) Merr.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้พุ่มที่เลื้อยทอดลำต้นเกาะเกี่ยวขึ้น (ไม้เถา) ที่ระดับความสูง 750 เมตร เป็นไม้ที่มีหนามตามลำต้น ไม้มีลักษณะเป็นเถา เนื้อในสีขาว มักขึ้นในบริเวณป่าละเมาะใกล้เชิงเขา ใบ เปนใบประกอบแบบแขนง เรียงสลับ รูปรีหรือรูปไข ขอบใบหยักหาง ๆ ดอกดานนอกสีแดงแกมมวง ดานในสีนวล ออกเปนชอ ดอกยอย ภายในมีแปนดอก กลีบรองดอก และกลีบดอก ผลสด คอนข้างกลม ผิวนอกคลายแผนหนัง ภายในมีเมล็ดแข็ง

การใช้ประโยชน์

ชาวล้านนามักนำไม้จี้มาทำเป็นหลัว (ฟืน) หิงไฟพระเจ้า (ผิงไฟพระพุทธเจ้า) ประมาณเดือน 4 ของภาคเหนือ (ขึ้น 15 ค่ำ ของเดือนธันวาคมถึงมกราคม) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็น ชาวล้านนาเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปในวิหารก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นเช่นเดียวกับคน จึงนำไม้ที่มีคุณสมบัติ คือ กลิ่นหอม ห้ามใช้ไม้รสเผ็ด รสเปรี้ยวหรือมีกลิ่นเหม็น ต้องให้ถ่านดี ไม่แตกเวลาก่อไฟ ชาวเชียงดาวบางหมู่บ้านเก็บไม้จี้มาแล้วลิดหนามออก เพื่อนำไปขายหรือนำไปใช้หิงไฟพระเจ้าเอง ปุ่มหนามที่ลำต้นมักนำไปใช้ทำเป็นทุ่นเบ็ดตกปลา ลำต้นแข็งแรงนิยมนำไปเผาถ่านด้วย

กากุ๊ก

...     

ชื่ออื่น : ก้า ไม้ก้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Alpinia blepharocalyx K. Schum

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ที่ระดับความสูง 500-600 เมตร ใบรูปไข่กว้าง 8-10 ซม. ยาว 45-55 ซม. ปลายใบเรียวแหลมคล้ายหาง โคนใบสอบเรียว ช่อดอกออกที่ปลายของลำต้นเหนือดินยาว 12-18 ซม. ดอกสีขาวปนเหลืองและแดง กลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นสามแฉก ผลรูปร่างเกือบกลม สีแดงอมส้ม

การใช้ประโยชน์

ดอกก้าหรือปลีก้า มีกลิ่นหอม นำไปรับประทานกับน้ำพริก ผลอ่อนก็รับประทานได้ มีสรรพคุณแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ สมัยก่อนหากเข้าไปในป่าแล้วไม่มีเต็นท์นอน ไม่มีผ้ารองนอน จะตัดใบก้าซึ่งมีความกว้างและยาวใช้ปูนอน เพราะใบนุ่ม มีกลิ่นที่มีคุณสมบัติในการไล่แมลง ใช้นอนได้ดีกว่าใบตองเพราะใบตองมีความเย็นกว่า

3. กลุ่มพันธุ์พืชที่ชาวบ้านอนุรักษ์ไว้เพื่อใช้เป็นสมุนไพร โดยนำส่วนต่าง ๆ ของพืชชนิดนั้นมาใช้ในการรักษาโรคทั่ว ๆ ไป โดยใช้กรรมวิธีต่าง ๆ เช่น ต้ม ดอง อบ บดเป็นผง เป็นต้น มีพันธุ์ไม้ทั้งหมด 18 วงศ์ 21 ชนิด อยู่ในวงศ์ COMPOSITAE (วงศ์ทานตะวัน) 2 ชนิด EUPHORBIACEAE (วงศ์ยางพารา) 2 ชนิด และ วงศ์เดียวอีก 17 ชนิด ได้แก่ วงศ์ AMARANTHACEAE (วงศ์บานไม่รู้โรย), ASPARAGACEAE (วงศ์หน่อไม้ฝรั่ง), BETULACEAE (วงศ์กำลังเสือโคร่ง), COMBRETACEAE (วงศ์สมอ), CRUCIFERAE (วงศ์ผักกาด), CYCADACEAE (วงศ์ปรง), DRACAENACEAE, HYPOXIDACEAE, LABIATAE (วงศ์กะเพรา),วงศ์ LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE (วงศ์ย่อยสีเสียด), LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE (วงศ์ย่อยถั่ว)MELASTOMATACEAE (วงศ์โคลงเคลง), MENISPERMACEAE (วงศ์บอระเพ็ด), MORACEAE (วงศ์ขนุน), RUBIACEAE (วงศ์เข็ม), THEACEAE (วงศ์ชา), และ ZINGIBERACEAE (วงศ์ขิง)

โด่ไม่รู้ล้ม

...

ชื่ออื่น : เคยโป้ หนาดผา หญ้าปราบ หญ้าไก่นกคุ่ม หญ้าไฟนกคุ้ม หญ้าสามสิบสองหาบ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Elephantopus scaber L.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ล้มลุกลำต้นสั้น ที่ระดับความสูง 900 เมตร ใบเดี่ยว เรียงซ้อนสลับเป็นวง รูปขอบขนาน หรือรูปใบหอกกลับมักแผ่ราบไปกับผิวดิน ขอบใบหยักฟันเลื่อย ปลายใบและโคนใบมน แผ่นใบมีขนสากมือ ก้านใบสีขาวหนา ดอก ออกเป็นช่อแบบแขนงที่ปลายยอด มีใบประดับ 2 ใบ ดอกสีม่วง กลีบดอกเรียวยาว ปลายกลีบดอกแหลม โคนเชื่อมติดกัน ก้านช่อดอกเหนียว เมื่อโดนเหยียบก้านช่อดอกจะตั้งขึ้นมาใหม่เหมือนเดิม ผล รูปทรงกลม มีสัน 10 สัน ผิวมีขนนุ่มปกคลุม พบขึ้นตามป่าโปร่งที่ดินค่อนข้างเป็นทรายทั่ว ๆ ไปในป่าเต็งรัง ป่าดิบ และป่าสนเขา

สรรพคุณ

ใช้ได้ทั้งราก ใบ ทั้งต้น ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง ด้วยการใช้รากต้มเป็นน้ำดื่ม หรือใช้ดองเหล้าดื่มผสมเข้ากับสมุนไพรชนิดอื่น หรือจะใช้ใบต้มกับน้ำดื่มก็ได้ และนอกจากนี้ยังใช้ทั้งต้นของโด่ไม่รู้ล้ม นำมาตากแห้งแล้วหั่นเป็นฝอยใช้ผสมเข้ายาร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ คือ ต้นนางพญาเสือโคร่ง ม้ากระทืบโรง ลำต้นฮ่อสะพายควาย สะค้าน ฯลฯ นำมาต้มเป็นน้ำดื่มเป็นยาบำรุงก็ได้เหมือนกัน



ปืนนกไส้

...     

ชื่ออื่น : ก้นจ้ำขาว หญ้าก้นจ้ำขาว กี่นกไส้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bidens Pilosa L.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นพืชล้มลุก อายุปีเดียว ที่ระดับความสูง 2,000 เมตร ลำต้นตั้งตรงสูงไม่เกิน 130 ซม. ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ มีใบย่อย 3 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบจักเป็นซี่ฟัน ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกช่อมีประมาณ 1-3 ดอก ดอกเดี่ยวขนาด 1 เซนติเมตร ดอกเป็นสีเหลืองหรือสีครีม กลีบดอกวงนอกสีขาวครีม วงในเป็นดอกสีเหลือง ปลายแยกออกเป็นแฉก 5 แฉก กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว ก้านดอกยาว ผลเป็นผลแห้งไม่แตก ลักษณะของผลเป็นรูปขอบขนาน แบน เป็นสัน ผลอ่อนเป็นสีเขียวส่วนผลแห้งเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม ปลายแยกเป็นแฉกหนามสีเหลือง 2 อัน

สรรพคุณ

โดยทั่วไปยอดอ่อนนำมาต้มรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกหรือนำไปแกง นำมารับประทานกับลาบ ป้องกันพยาธิ รับประทานได้ทั้งดิบและสุกโดยการนำมาผัดหรือแกง หรือนำทั้งต้นต้มน้ำดื่มรักษาโรคหวัด แก้ไอ แก้จุกเสียดแน่นท้อง หรือนำทั้งต้นมาผสมกับเหล้าโรงรักษาโรคงูสวัด โดยนำมาทาในบริเวณที่เป็น ใบใช้เป็นยาห้ามเลือด รักษาบาดแผล แผลบวม แผลเน่า

เปล้าใหญ่

...     

ชื่ออื่น : เปล้าหลวง เปาะ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Croton roxburghii N. P. Balakr.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ ที่ระดับความสูงไม่เกิน 950 เมตร สูงประมาณ 8 เมตร เปลือกของลำต้นเรียบ เป็นสีน้ำตาล มีรอยแตกบ้างเล็กน้อย ที่กิ่งก้านค่อนข้างใหญ่ ตามใบอ่อน ยอดอ่อน และช่อดอก จะมีเกล็ดสีเทาเป็นแผ่นเล็ก ๆ ปกคลุมอยู่ทั่วไป ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปขอบขนาน ส่วนขอบใบจักเป็นซี่ฟันไม่สม่ำเสมอ ลักษณะของใบจะลู่ลง ใบอ่อนจะเป็นสีน้ำตาล ส่วนใบแก่มีสีเขียวเข้ม ใบเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้มก่อนร่วงหล่นลงมา ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อดอกมีหลายช่อ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบดอกมีสีเหลืองแกมสีเขียว ดอกจะบานจากโคนช่อไปหาปลายช่อ ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่ผลจะแห้งแตก ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมแบน ผิวเรียบ ด้านบนแบน มีเกล็ดเล็กห่างกัน ในผลมีเมล็ดลักษณะแบนรี โดยมักพบได้ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ

สรรพคุณ

เป็นสมุนไพรพื้นบ้านสำหรับผู้หญิงหลังคลอด (อยู่ไฟ) หรือผู้เป็นลมผิดเดือน โดยการนำไปต้มแล้วอบตัวในกระโจม ตัดรากไปต้มแช่เท้า เพื่อขับพิษ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย



มะขามป้อม

...      ...

ชื่ออื่น : -

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus emblica L. และ Phyllanthus sootepensis Craib

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

มะขามป้อม ชนิด Phyllanthus emblica L. ที่ระดับความสูง 700-1,400 เมตร เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 8 - 12 เมตร เปลือกค่อนข้างเรียบ เกลี้ยง สีเทาอมน้ำตาลอ่อน ลอกออกเป็นแผ่นได้ กิ่งก้านแข็ง เหนียว ปลายกิ่งมักลู่ลง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงชิดกันและติดเรียงสลับตามกิ่งก้านที่เรียวยาว ขนาดใบเล็ก แผ่นใบสีเขียวเข้ม บาง ก้านใบสั้นมาก ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนง ออกช่อดอกตามง่ามใบ ช่อดอกสั้น มีดอกย่อยขนาดเล็กประมาณ 5 - 6 ดอก สีขาวหรือสีเหลืองนวล กลีบดอก 5 - 6 กลีบ มีกลิ่นหอม ผล ลักษณะผลรูปทรงกลม เกลี้ยง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. ผลอ่อนสีเขียวอ่อน มีเนื้อหนา รสฝาด เปรี้ยว ขม และอมหวาน ผลแก่สีเขียวอมเหลือง มีรอยแยกแบ่งออกเป็น 6 ซีก เมล็ด เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งสีน้ำตาล มีสันตามยาว 6 สัน ภายในมี 6 เมล็ด

สรรพคุณ

ผลมะขามป้อมมีวิตามินซีสูง ใช้เป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะได้ โดยใช้ผลสดประมาณ 30 ผล นำมาคั้นเอาน้ำหรือนำมาต้มทั้งผลแล้วดื่มแทนน้ำ ทั้งนี้ควรเลือกมะขามป้อมที่แก่จัด ผิวออกเหลืองจะได้ผลดีที่สุดในการรักษาอาการไอและหวัด มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยช่วยบำรุงอวัยวะแทบจะทุกส่วนของร่างกาย ลดคอเลสเตอรอล ลดน้ำตาล ลดไขมันในเลือด ใบสดนำมาต้มน้ำอาบลดอาการไข้ เปลือกมะขามป้อมต้มน้ำดื่มแก้โรคบิด

พันงูน้อย

...     

ชื่ออื่น : พันธุ์งูเล็ก พันงูเล็ก หญ้าควยงู

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Achyranthes bidentata Blume

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก จัดเป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง มีความสูงไม่เกิน 100 ซม. ลำต้นตั้งตรง ก้านค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมและมีสีน้ำตาลเหลือง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กว้าง ปลายใบและโคนใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียว ผิวใบเรียบ ใบมีขนปกคลุมเล็กน้อย ดอกมีขนาดเล็กสีเขียวมีสีขาวปนแดง โดยจะออกที่ง่ามใบและปลายกิ่ง มีกาบใบช่อดอก 1 ใบ ก้านช่อดอกกลมและตั้งตรงยาว กลีบดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยง 2 กลีบ ลักษณะเป็นรูปแหลม ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมรี ขนาดไม่เกิน 5 มิลลิเมตร ผิวผลเรียบมัน ภายในมี 1 เมล็ด

สรรพคุณ

เป็นพืชสมุนไพรประเภทไม้พุ่มขนาดเล็กใช้รักษาอาการไอหรือแก้ไอโดยการต้มกิน ชาวเขาใช้ใบหรือทั้งต้นต้มให้หญิงหลังคลอดดื่มเพื่อช่วยแก้อาการปวดท้องน้อยหลังการคลอดบุตร ส่วนใหญ่ใช้ส่วนของรากรักษาอาการปัสสาวะเป็นเลือด ขับปัสสาวะ แก้ปวดตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดเอว แก้ฟกช้ำ บำรุงตับและไต

ม้าสามต๋อน

...      ...

ชื่ออื่น : ม้าสามตอน รากสามสิบ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dipterocarpus turbinatus C.F. Gaertn.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้เถา ที่ระดับความสูง 1,200-1,400 เมตร ลำต้นเป็นสีเขียว เถามีขนาดเล็กเรียว กลม เรียบ ลื่น และเป็นมัน ตามข้อเถามีหนามแหลม หนามมีลักษณะโค้งกลับ บริเวณข้อมีกิ่งแตกแขนงแบบรอบข้อ และกิ่งนี้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวลักษณะแบนเป็นรูปขอบขนาน ปลายแหลม มีเหง้าและรากอยู่ใต้ดิน ออกเป็นกระจุก มีลักษณะอวบน้ำ รากสะสมอาหาร พบตามป่าโปร่ง หรือเขาหินปูน

สรรพคุณ

รากหรือทั้งต้น นำมาต้มน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง ตับ ปอด บำรุงครรภ์ ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ลดน้ำตาลในเลือด รากมีรสเฝื่อนเย็นจึงมีสรรพคุณแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับลม ลดกรดในกระเพาะอาหาร

กำลังเสือโคร่ง

...     

ชื่ออื่น : -

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Betula alnoides Buch-Ham.ex G. Don.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เปลือกไม้ (ที่ยังไม่ลอก) มีสีน้ำตาล เทา หรือ เกือบดำ เปลือกมีกลิ่นคล้ายการบูร เวลาแก่จะลอกออกเป็นชั้นๆ คล้ายกระดาษ ส่วนที่ใช้คือ เปลือกไม้มีน้ำมันหอมระเหย กลิ่นคล้ายน้ำมันมวย ที่ยอดอ่อน ก้านใบและช่อดอกมีขนสีเหลือง หรือสีน้ำตาลปกคลุม หูใบเป็นรูปสามเหลี่ยม เป็นรูปไข่ถึงรูปไข่แกมหอก เนื้อใบบาง คล้ายกระดาษ ด้านใต้ของใบมีตุ่ม ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อยสองชั้นหรือสามชั้น ซี่หยักแหลม ปลายใบเรียวแหลม ดอก ออกเป็นช่อยาวคล้ายหางกระรอก ออกตามง่ามใบแห่งละ 2-5 ช่อ ผลแก่ร่วงง่าย

สรรพคุณ

วิธีใช้ให้ถากเปลือกออกจากลำต้นตามความต้องการ ต้มน้ำให้เดือด นำเปลือกใส่แล้วเคี่ยวไฟอ่อน ๆ น้ำสมุนไพรจะเป็นสีแดง ถ้าต้องการให้ดื่มง่ายให้ใส่ชะเอมกับน้ำตาลกรวด แล้วรับประทานขณะน้ำสมุนไพรอุ่นๆ ช่วยชำระล้างไต ขับลมในลำไส้ บำบัดอาการเกี่ยวกับมดลูกของผู้หญิงให้แข็งแรง

สมอพิเภก

...     

ชื่ออื่น : บ่าแหน แหน สมอแหน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Terminalia. bellirica (Gaertn.) Roxb

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ที่ระดับความสูง 525-750 เมตร ลักษณะเป็นทรงเรือนยอดกลมแผ่กว้างและค่อนข้างทึบ มีลำต้นตรง โคนต้นมักขึ้นเป็นพูพอน เปลือกต้นมีสีเทาอมน้ำตาล เปลือกต้นค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็ก ๆ ไปตามความยาวของต้น เปลือกด้านในมีสีเหลือง ส่วนกิ่งอ่อนและยอดอ่อนจะมีขนอยู่ประปราย ใบเป็นใบเดี่ยวติดเวียนกันเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปทรงรี เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวใบมีเส้นแขนงใบโค้งอ่อน เส้นใบเป็นแบบร่างแหเห็นได้ชัดเจนทางด้านท้องใบ ท้องใบมีสีจางหรือสีเทามีขนนุ่มคลุมอยู่ ส่วนหลังใบมีสีเขียวเข้มและมีสีน้ำตาลกระจายอยู่ทั่วไป แต่ใบทั้งสองด้านขนจะหลุดร่วงออกไปเองเมื่อใบแก่จัด

สรรพคุณ

เมล็ดด้านในสามารถนำมาบริโภคได้ ผลอ่อนมีรสเปรี้ยว แก้ไข้ เป็นยาระบาย ผลแก่มีรสฝาด แก้โรคในตา บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก เป็นยาแก้ท้องร่วง ท้องเดิน เปลือกช่วยขับปัสสาวะ แก้เจ็บคอชุ่มคอ เปลือกสมอพิเภกช่วยขับปัสสาวะ โดยใช้เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำรับประทาน ใบช่วยรักษาบาดแผล แผลติดเชื้อ โดยใช้ใบสดนำมาตำแล้วนำมาพอกรักษาแผล สมอพิเภกจัดให้อยู่ในตำรับยา “ยาหอมนวโกฐ” ซึ่งเป็นยาในกลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต แก้ลมวิงเวียน คลื่นเหียนอาเจียน แก้ลมจุกแน่นในหน้าอกในผู้สูงอายุ และแก้ลมปลายไข้ (อาการหลังจากฟื้นไข้แล้วมีอาการคลื่นเหียน วิงเวียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย และท้องอืด)

ผักกาดน้ำ

...     

ชื่ออื่น : หญ้าเอ็นยึด หญ้าเอ็นหยืด (เสียงถิ่นเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rorippa dubia (Persoon) Hara

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ล้มลุก ที่ระดับความสูง 350 เมตร ต้นเติบโตอยู่ระดับผิวดิน ใบเดี่ยวรูปไข่ก้านใบยาว ก้านช่อดอกแทงขึ้นมาจากกลางกอซึ่งเป็นส่วนที่สูงที่สุดของพืชชนิดนี้ ดอกย่อยขนาดเล็กสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ไม่มีก้านดอกย่อย ผลแก่แตกตรงกลาง

สรรพคุณ

หญ้าเอ็นยืดเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ใช้รักษาอาการข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง พืชชนิดนี้ในส่วนก้านเมื่อดึงออกมาจะมีลักษณะเหมือนเส้นเอ็น นำมาตำแล้วพอกบริเวณที่ข้อเท้าแพลง มีฤทธิ์ร้อน ลักษณะการรักษาคล้ายกับการประคบร้อน รากต้มน้ำดื่มแก้กระษัย ปวดเมื่อยตามร่างกาย ต้นต้มกับน้ำตาลกรวด ดื่มขับปัสสาวะ เป็นยาเย็น แก้ร้อนใน แก้เจ็บคอ ใบมีสรรพคุณในการห้ามเลือด หรือขยี้ทาอาการอักเสบของผิวหนัง ตำพอกแก้แผลเรื้อรังหรือผิวหนังอักเสบ ใช้ทาเมื่อถูกแมลงกัดต่อย

ปรงเขา

...      ...

ชื่ออื่น : ปาล์มเต่า ปรงอัสสัม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cycas pectinata Griff

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

พบที่ระดับความสูง 1,200 แพร่กระจายตั้งแต่ตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย จนถึงภาคเหนือของไทย ลาวและเวียดนาม ในอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ ปรงลำต้นสูงได้ถึง 12 ม. บางครั้งแตกกิ่ง ใบยาวได้กว่า 2 ม. ก้านใบยาว 30–80 ซม. ใบโค้งเล็กน้อย ก้านใบย่อยเรียวสอบ โคนเพศผู้รูปไข่ ใบสร้างอับไมโครสปอร์เรียวแคบ มีขนสั้นนุ่มหนาแน่น ปลายเป็นหนามยาว ใบมีขนสั้นนุ่มหนาแน่น แผ่นใบรูปกลม ขอบจักลึกซี่หวีถี่ ปลายเป็นหนามยาว

สรรพคุณ

พืชนี้เป็นพืชอนุรักษ์เพราะการทำลายป่าและเก็บโคนตัวผู้ไปทำยา จัดเป็นพืชอนุรักษ์ในบัญชีไซเตส (CITES) อนุสัญญาว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าระหว่างประเทศ อนุสัญญานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าหายากในระหว่างประเทศเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เนื่องจากสัตว์ป่าและพืชป่าหายากที่มีอยู่ธรรมชาติของโลกได้ถูกทำลายไปด้วยการค้าระหว่างประเทศเป็นจำนวนมากและรวดเร็ว ไม่สามารถอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใดเพื่อให้ได้สัตว์ป่าและพืชป่าหายากที่สูญพันธุ์ไปนั้นกลับคืนมาสู่ระบบนิเวศน์ของโลกได้อีก https://www.seub.or.th/bloging/knowledge/2024-199/ 23 มีนาคม 68

จันทน์ผา

...      ...

ชื่ออื่น : จันทร์แดง จันแดง จันผาดอยหลวง จันทน์แดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dracaena loureiroi Gagnep

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้พุ่ม ที่ระดับความสูง 1,750 เมตร สูงประมาณ 1.5 - 2 เมตร ลำต้นตรงเป็นรูปบวม ๆ เรือนยอด อาจมียอดเดียวหรือหลายยอด เปลือกนอก เกลี้ยง สีเทา เปลือกในสีขาว ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่ ๆ ที่ปลายยอด ปลายแหลม สีเขียวเข้ม ก้านเป็นกาบหุ้มซ้อนทับกันรอบลำต้น ดอก ออกเป็นช่อใหญ่ตามซอกใบ กลีบดอก 6 กลีบ ตรงกลางดอกมีจุดสีแดง ดอกสีขาว ผล กลม เล็ก ผลอ่อน มีสีเขียว ผลแก่ สีแดง และม่วงคล้ำ มีเมล็ดเดียว

สรรพคุณ

ต้นแก่เปลือกล่อนเป็นเนื้อบางๆ ทำยาผงแดง ใช้สำหรับเป็นยาเย็นดับพิษไข้ แก้ไอ ดีซ่านรักษาบาดแผล แก้ฟกช้ำบวม บำรุงร่างกาย จัดอยู่ในตำรับยาหลายชนิด

ฮอมดง

...     

ชื่ออื่น : ฮ่อมดง ฮอมคำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dichroa febrifuga Lour.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้พุ่ม ที่ระดับความสูง 1,650 เมตร มีขนสั้นนุ่มตามกิ่งอ่อน แผ่นใบ ก้านใบ และช่อดอก ใบอ่อนมักมีสีม่วงอมเขียว ปลายแหลมยาว โคนรูปลิ่ม ขอบจักซี่ฟัน ก้านใบยาว 2–5 ซม. มีดอกและผลจำนวนมากสีน้ำเงินอ่อนและน้ำเงินเข้ม ขึ้นตามที่ชุ่มชื้นในป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าดิบเขา

สรรพคุณ

นำยอดตำกับเกลือใช้พอกอุ้งมือเด็กที่เป็นไข้ตัวร้อน ใช้ลดไข้ในเด็กและผู้หญิงที่เป็นไข้ทับระดู น้ำต้มรากรับประทานแก้ไข้มาเลเรีย

ฮ่อสะพายควาย

...     

ชื่ออื่น : ฮ่อสะปายควาย กำลังช้างเผือก กำขาม้า โฮมาลอง โหมะลอง ขาเปีย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sphenodesme pentandra Jack

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้เถาเลื้อยกิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม ที่ระดับความสูง 800 เมตร มีขนทั่วไป ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรีแกมขอบขนาน โคนมน ปลายแหลม ขอบเรียบ ด้านล่างมีขนตามเส้นใบ ก้านใบยาวไม่เกิน 1 ซม. ดอกสีม่วงแกมเขียว ออกเป็นช่อใหญ่ ดอกย่อยมีใบประดับสีเขียว 6 ใบ คล้ายกลีบ เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล รูปขอบขนานปลายมน กลีบรองดอกม้วนห่อเป็นหลอด ไม่หลุดร่วง กลีบดอก 5 กลีบ เป็นแผ่นมีขนสีม่วงเป็นกระจุกอยู่กลางดอก ผลรูปร่างกลมรี ขนาดเล็ก

สรรพคุณ

ใช้ลำต้นนำมาตากแห้ง ฝานเป็นแว่น ดองกับเหล้าเป็นยาบำรุงกำลัง น้ำที่เคี่ยวจากรากใช้รักษาโรคปวดกระดูกและไขข้อ มักนำไปผสมเป็นส่วนประกอบกับสมุนไพรอื่น ๆ เช่น ลำต้นนางพญาเสือโคร่ง ลำต้นม้ากระทืบโรง จะค่าน แก่นฝาง ฯลฯ เพื่อเป็นยาบำรุงกำลัง

กางขี้มอด

...     

ชื่ออื่น : กางแดง คางแดง จันทน์ มะขามป่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Albizia odoratissima (L.f.) Benth.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ต้น สูง 15-30 ม. เปลือกสีเทาอมเหลืองหรือน้ำตาลอ่อน ค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นปลายคู่ เรียงแบบสลับ ใบย่อย 10-25 คู่ เรียงแบบตรงข้าม รูปขอบขนานหรือ รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบมน ขอบใบเรียบ ผิวใบทั้งสองด้านเกลี้ยง ดอก ช่อดอกแบบกระจุกแน่นประกอบออกตามปลายกิ่ง ดอกย่อยมีสอง แบบ กลีบเลี้ยงขนาดเล็กสีขาว โคนเชื่อมกันเป็นหลอด มีขน ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกเป็นรูปกรวย ผิวมีขน ผล เป็นฝักรูปขอบขนานแบน บาง สีน้ำตาลเข้ม ผิวเรียบ

สรรพคุณ

ดอกและเปลือกมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ใบมีรสฝาดเฝื่อนใช้เป็นยาแก้ไข้ ดอกมีรสหวานใช้เป็นยาแก้ตาอักเสบ แก้ฟกบวม แก้พิษคุดทะราด เปลือกแก้ฝี แก้ท้องร่วง แก้พยาธิ เปลือกต้นนำมาต้มน้ำอมไว้ในปากแก้ปวดฟัน เป็นไม้เนื้ออ่อนใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ก่อสร้างภายในที่ไม่รับน้ำหนักมาก ชาวไทใหญ่ใช้ยอดอ่อนในพิธีสร้างบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล

สะบ้าลิง

...     

ชื่ออื่น : มะบ้าแมง หมาบ้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mucuna macrocarpa Wall

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ที่ระดับความสูง 1,000-1,500 เมตร มีความยาวได้ประมาณ 30-40 เมตร ตามกิ่งและลำต้นมีขนขึ้นหนาแน่น ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ ลักษณะของใบย่อยส่วนปลายมีลักษณะเป็นรูปรี ใบข้างมีลักษณะเป็นรูปรี เบี้ยว ปลายใบแหลม โคนใบกลม ไม่มีก้านใบ ดอกเป็นสีม่วงดำ มีกลิ่นเหม็นเอียน ออกดอกเป็นช่อกระจุกสั้น ๆ หนาแน่นตามลำต้น ช่อดอกจะห้อยย้อยลง ดอกย่อยนั้นมีจำนวนมาก แกนช่อดอกมีขนละเอียดและขนคันแข็งสีน้ำตาลขึ้นหนาแน่น ผลเป็นฝักแข็ง ลักษณะของฝักเป็นรูปขอบขนานยาวแบนคล้ายดาบ สันคอดไปตามกลักเมล็ด ผิวฝักมีขนสั้นนุ่มสีน้ำตาลหนาแน่น ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 6-15 เมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลดำแบน เมล็ดแข็ง ผิวเมล็ดเป็นมัน

สรรพคุณ

เป็นยาพื้นบ้านล้านนาใช้ลำต้นและเปลือกนำมาผสมกับเปลือกไม้ชนิดอื่น ๆ แล้วนำมาบดเป็นผงผสมน้ำอุ่นหรือเหล้าดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง ลำต้นใช้เป็นยาบำรุงกำลังทางเพศ เปลือกต้นใช้ต้มผสมกับเกลือ เป็นยาอมแก้ปวดฟัน หรือนำลำต้นหรือเครือมาหั่นเป็นแว่นตากแห้งขาย เมล็ดนำไปเผาแล้วบดให้เป็นผง ผสมกับน้ำมันมะพร้าว ใช้เป็นยาทาแก้คัน แก้หิด และโรคผิวหนัง

เอ็นอ้าขน

...      ...

ชื่ออื่น : บ่าอ้า เอ็นอ้าขน ต๊ะโพง่วน เฒ่านั่งฮุ่ง โครงเครงหิน แตกกลาง นางหญ้ารากขาว สาวน้อยตกเตียง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Osbeckia stellata Buch-Ham. ex Ker Gawl.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้พุ่ม ที่ระดับความสูง 500-2000 เมตร ลำต้นมีสันตามยาว 4 สัน มีขนละเอียดปกคลุม ใบเดี่ยวเรียงเป็นคู่ออกตรงข้าม แผ่นใบรูปไข่แกมขอบขนาน โคนใบมน ปลายใบแหลม แผ่นใบมีขนแข็งปกคลุมทั้งสองด้าน ดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนงออกตามปลายกิ่ง ดอกสีชมพูอมม่วง ผลรูปคนโท เมล็ดรูปไตแบน มีเมล็ดเป็นจำนวนมาก

สรรพคุณ

เป็นตำรับยาดองเหล้าสมุนไพร นำรากมาต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ดื่มบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และแก้ริดสีดวงทวาร

บอระเพ็ด

...     

ชื่ออื่น : จุ้มจะลิ่ง จุ่งจิง เครือเขาฮอ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tinospora crispa (L.) Miers Ex Hook.f. & Thomson

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้เถา ที่ระดับความสูง 400 เมตร ลำต้นเนื้ออ่อน เลื้อยพาดพันไปตามต้นไม้อื่น ลักษณะเถากลมโตขนาดนิ้วมือ มีไส้เป็นเส้นยาว มีเปลือกหุ้มเถาเป็นตุ่มเล็กๆ กลมๆ ตลอดเถาสีเทาอมดำ เปลือกสามารถลอกออกได้ ยางมีรสขมจัด ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบรูปไข่หรือรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลมมีลักษณะคล้ายใบพลู หรือใบโพธิ์ โคนเว้าเป็นใบรูปหัวใจ เส้นแขนงใบมองเห็นชัดเจน แผ่นใบสีเขียว ดอกออกเป็นช่อขนาดเล็กมาก ตามซอกใบ สีเขียวอมเหลือง ผลลักษณะรูปทรงค่อนข้างกลม สีเหลืองหรือสีแดง

สรรพคุณ

เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการอ่อนเพลีย ชาวบ้านที่มีอาการผอมแห้งแรงน้อย ใช้เถาหรือลำต้น ซึ่งมีรสขมเย็น ต้มเคี่ยวกับน้ำใช้เป็นยาแก้ไข้ ขับเหงื่อ แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนในทำให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง นอกจากนี้สามารถใช้เป็นยาแก้ไอ รักษาความดัน และชาวบ้านยังค้นพบว่า พืชดังกล่าวมีฤทธิ์ในการรักษากรดไหลย้อน แก้อาการร้อนคอ โดยนำมาซอย ดองเหล้าหรือน้ำผึ้งแล้วรับประทาน

ม้ากระทืบโรง

...     

ชื่ออื่น : เดื่อเครือ บ่าบ่วย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus pubigera Wall. Ex. Miq

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ที่ระดับความสูง 1,400 เมตร ขึ้นบริเวณป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรือไม้เถาที่มีขนาดใหญ่มักเลื้อยเกาะตามพรรณไม้อื่น เปลือกสีน้ำตาลเทา เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเขียว มียางสีขาว เมื่อทิ้งไว้เนื้อไม้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มปนขาวอมเหลือง เถามีรสเย็น ขื่น

สรรพคุณ

ม้ากระทืบโรง นิยมนำมาดองกับเหล้าไว้ดื่ม หรือที่เรียกว่า ยาดองม้ากระทืบโรง ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และมีสรรพคุณโดดเด่นนั่นก็คือการใช้เป็นยาบำรุงกำลังและบำรุงกำหนัด หรือนำไปต้มกับน้ำ หรือดองเหล้าร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ช่วยแก้ปวดเมื่อยร่างกาย ปวดเส้นเอ็น ปวดเอว ปวดหลัง บำรุงโลหิต บำรุงธาตุ แก้ประดง เป็นยาอายุวัฒนะ

ขมิ้นต้น

...     

ชื่ออื่น : ขมิ้น เคาะขมิ้น

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Metadina trichotoma (Zoll.&Merr.) Bahk.f

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ที่ระดับความสูง 1,300 เมตร เปลือกในสีเหลืองสดถึงสีส้ม ใบประกอบแบบขนนก แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ขอบใบจักฟันเลื่อย ดอกออกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ปลายยอด ดอกจำนวนมาก สีเหลืองสด ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่นแยกแขนง ออกตามปลายกิ่งหรือตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ผลแบบผลแห้งแตก ทรงรูปไข่กลับแกมรูปกรวย เรียงอัดแน่นบนแกนช่อผลเป็นก้อนกลม เมล็ดเล็กรูปพีระมิด ไม่มีปีก ขึ้นในป่าดิบเขา ที่โล่งบนเขาหินปูน

สรรพคุณ

แพทย์แผนไทยใช้แก่นขมิ้นต้นเข้ายาแก้ท้องร่วง ราก เป็นยาเจริญอาหาร แก้โรคทางผิวหนัง แก้โรคตา ลดไข้ แก้ดีไม่ปกติ แก้เบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันของโลหิต เปลือกใช้ย้อมผ้า

สารภีป่า

...     

ชื่ออื่น : ปันม้า ส้านแดง ส้านแดงใหญ่ สารภี สารภีควาย สารภีดอย สารภีหมู สุน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Annesiea fragrans Wall.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ต้นทรงพุ่มขนาดเล็กถึงกลาง ไม่ผลัดใบ ที่ระดับความสูง 850-1,700 เมตร ขึ้นตามป่าสนเขา ป่าดิบเขา ลำต้นมีลักษณะคดงอ แตกกิ่งต่ำ เปลือกลำต้นเรียบหรือแตกเป็นร่องตื้น ๆ ไม่เป็นระเบียบ และอาจมีรอยแตกลึกเป็นลวดลายละเอียด บางครั้งเปลือกต้นเป็นสีครีมค่อนข้างเรียบ ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีแดงปนน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับ หนาแน่นที่ปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก ปลายใบแหลม ใบเป็นสีเขียวเข้ม เนื้อใบหนาและเหนียวคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบเรียบเป็นมัน ท้องใบด้านล่างมักมีนวลและต่อมสีน้ำตาลขึ้นกระจาย ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นกลุ่มตามซอกใบ มีลักษณะชี้ลงดิน ดอกมีจำนวนมาก กลีบดอกเป็นสีขาวครีม กลีบดอกมี 5 กลีบ เบียดชิดกันอยู่ตรงกลางปิดส่วนเกสร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ หนาเป็นสีเหลืองแกมชมพู

สรรพคุณ

ดอกบำรุงหัวใจ ใบและกิ่งแก้ไข้มาเลเรีย เปลือกและดอก ใช้ถ่ายพยาธิ แก้บิด แก้ไข้ ตำรายาพื้นบ้านล้านนา ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น ต้มใช้แก้โรคประดง

ไพล

...     

ชื่ออื่น : ปูเลย ปูลอย ปูขมิ้น มิ้นสะล่าง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber montanum (J.Koenig) Link ex A.Dietr. (ไพลเหลือง) Zingiber rubens Roxb. (ไพลชมพู) Zingiber ottensii Valeton (ไพลดำ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ล้มลุกมีความสูงประมาณ 0.7-1.5 เมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เปลือกมีสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อด้านในมีสีเหลืองถึงสีเหลืองแกมเขียว ไพลชมพูเนื้อด้านในสีขาว ไพลดำเนื้อด้านในสีม่วงอ่อน แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ โดยจะประกอบไปด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกันอยู่ เหง้าไพลสดฉ่ำน้ำ รสฝาด ร้อนซ่า มีกลิ่นเฉพาะ ส่วนเหง้าไพลแก่สดและแห้งจะมีรสเผ็ดเล็กน้อย ใบไพล ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ ดอกไพล ออกดอกเป็นช่อ แทงจากเหง้าใต้ดิน กลีบดอกมีสีนวล มีใบประดับสีม่วง ผลมีลักษณะเป็นผลแห้งรูปกลม

สรรพคุณ

ไพลชนิดต่าง ๆ ถือเป็นยาอายุวัฒนะบำรุงร่างกาย ช่วยขับลม ย่อยอาหารรักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ แก้เหน็บชา แก้อาการช้ำใน ช่วยสมานแผล สลายลิ่มเลือดที่แข็งตัว รักษาอาการปวดหน่วงท้องน้อย ขับประจำเดือน โดยใช้หัวสดฝนกับเหล้าขาวทาบริเวณที่ฟกช้ำ หรือผสมกับว่านชนิดอื่น เช่น ไพลดำ ไพลเหลือง ไพลชมพู และขมิ้นอ้อย (เรียกว่า เข้ายา) ทำเป็นลูกประคบ รักษาอาการเคล็ดขัดยอกฟกช้ำ คลายเส้น หรือต้มดื่ม

4. กลุ่มพันธุ์พืชที่ชาวบ้านอนุรักษ์ไว้เพื่อใช้ทั้งประโยชน์ในการอุปโภคบริโภคและใช้เป็นสมุนไพร มีพันธุ์ไม้ทั้งหมด 11 วงศ์ 12 ชนิด โดยอยู่ในวงศ์ PINACEAE (วงศ์สนเขา) มากที่สุด 2 ชนิด วงศ์เดียวอีก 9 ชนิด ได้แก่ BIGNONIACEAE (วงศ์แคหางค่าง), BURSERACEAE (วงศ์มะแฟน), CAMPANULACEAE (วงศ์พระจันทร์ครึ่งซีก), DILLENIACEAE (วงศ์ส้าน), IRVINGIACEAE (วงศ์กระบก), LYTHRACEAE (วงศ์ตะแบก), MELIACEAE (วงศ์กระท้อน), MORACEAE (วงศ์ขนุน), MUSACEAE (วงศ์กล้วย), และ PIPERACEAE (วงศ์พริกไทย)

สนสามใบ

...

ชื่ออื่น : สนเกี๊ยะ เกี๊ยะแดง เกี๊ยะเปลือกบาง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pinus kesiya Royle ex Gordon

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลำต้นตรง ที่ระดับความสูง 1,200-2,000 เมตร มีเรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกสีน้ำตาลแดงแกมชมพู จะแตกเป็นเกล็ดหรือแผ่นเมื่อต้นมีอายุเต็มวัย ใบเล็กเรียวคล้ายเข็มเป็นกระจุก กระจุกละ 3 ใบ ดอกเป็นช่อ แยกเพศแต่อยู่ต้นเดียวกัน ผลของสนสามใบเรียกว่า โคน เป็นรูปกรวยมีเกล็ดซ้อนเป็นชั้น มักพบขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ บนเขาหรือตามเนินเขา

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

เป็นไม้ประดับซึ่งกำลังเป็นที่นิยมปลูก เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้างเป็นเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ภายใน ไม้ประสาน อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ ทำน้ำมันสนหรือชันสน ใช้ผสมในสีและสิ่งเคลือบผิว ทำน้ำหอมและสารแต่งกลิ่น สรรพคุณทางยาใช้ได้ทั้งแก่น กระพี้ ชันสน ใบ เปลือก ยาง ได้แก่ แก่น ใช้ต้มหรือฝนกินเป็นยาแก้ไข แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้เสมหะ กระจายลม แก้บิด ท้องร่วง ท้องเดิน ตำราพื้นบ้านล้านนาใช้แก่นเป็นยารักษาโรคทางเดินปัสสาวะ บำรุงไขข้อ กระพี้ มีรสขมเผ็ดมัน ต้มน้ำดื่มแก้ไข้สันนิบาต ชันสน ใช้เป็นยาปิดธาตุ ยาแก้บิด ใบและเปลือก ต้มน้ำเป็นยาแก้ผดผื่นคันตามร่างกาย ยาง มีสรรพคุณเป็นยาสมานแผล ใช้ผสมเป็นทาถูแก้ปวดเมื่อย น้ำมันสน มีรสเผ็ดร้อน แก้เคล็ดขัดยอก อักเสบ บวม



สนสองใบ

...      ...

ชื่ออื่น : เกี๊ยะเปลือกหนา เซียงเซา สนเขา เกี๊ยะดำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pinus merkusii Jungh.& de Vnese

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูงถึง 30 เมตร ที่ระดับความสูง 30-2,000 เมตร ลำต้นตรง ลักษณะเรือนยอดค่อนข้างกลม หรือโปร่งแผ่แบนกว้างๆ กิ่งค่อนข้างใหญ่ หนา บางทีเห็นเรือนยอดแผ่เรียงเป็นชั้น ๆ เปลือกสีเทาดำ สีดำ หนาและแตกเป็นร่องลึกตามยาวของลำต้นและมีรอยตัดขวาง ใบเล็กเรียวคล้ายเข็ม อยู่รวมกันเป็นกระจุกละ 2 ใบ แต่ละใบมีเป็นเส้นยาวหนา ค่อนข้างเหนียว สีเขียวเข้ม ดอก เป็นช่อแยกเพศแต่อยู่ต้นเดียวกัน ผลของสนสองใบเรียกว่า โคน ลักษณะเป็นรูปกรวยยาวมีเกล็ดหุ้มอยู่โดยรอบ เมื่อแก่จัดมีสีเขียวปนน้ำตาล และเมื่อภูมิอากาศพอเหมาะเกล็ดจะเปิดออกให้เมล็ดซึ่งมีปีกติดอยู่หลุดปลิวออกมา

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ภายใน ภาชนะบรรจุของ เนื้อไม้มีลวดลายสวยงามอันเกิดจากวงรอบปีและท่อน้ำมัน ใช้ตกแต่งและขัดเงา ทำเยื่อกระดาษ เนื้อไม้มีขายทั่วไปตามท้องตลาดในภาคเหนือของไทยเพื่อใช้เป็นเชื้อจุดไฟ (ไม้เกี๊ยะ) และทำฟืน สรรพคุณทางยา กระพี้นำมาต้มน้ำดื่มแก้ไข้สันนิบาต แก่นต้มหรือฝนกับน้ำรับประทานเป็นยากระจายลม บำรุงกระดูก ไขข้อ ระงับประสาท อ่อนเพลีย เป็นไข้มีเสมหะ คลื่นไส้อาเจียนและอาการท้องเดิน ชาวไทใหญ่ และจีนฮ่อใช้กิ่ง ใบ และดอก ลนไฟให้เกิดไอสำหรับสูดดมแก้โรคปอดบวม น้ำมันใช้ทาภายนอกแก้เคล็ดขัดยอก อักเสบบวม หยดในน้ำร้อนประคบแก้ท้องบวม แก้มดลูก ลำไส้อักเสบ ยางสนใช้เป็นยาสมานแผล ยาทาถูนวดแก้ปวดเมื่อย แก้โรคบิด ใบ เปลือกใช้ต้มกับน้ำเป็นยาแก้ผดผื่นคันตามผิวหนัง

เพกา

...     

ชื่ออื่น : มะลิดไม้ ลิ้นฟ้า มะลิ้นไม้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oroxylum indicum (L.) Kurz

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 8-10 เมตร ใบเป็นชนิดใบรวม มีขนาดใหญ่ ก้านใบยาวกว่า 1 เมตร ดอกออกเป็นกลุ่มสีม่วง ก้านดอกยาวประมาณ 50 ซม. ฝักแบนกว้างประมาณ 5 ซม. ยาว 45 ซม. เมล็ดแก่มีเยื่อบาง ๆ เป็นปีกสีขาวคล้ายกระดาษซ้อนกันอยู่ในฝักอย่างเป็นระเบียบ ก้านฝักเพกาชูสูงขึ้นไปในอากาศบนส่วนยอดสุดของลำต้น ฝักแบนใหญ่ห้อยลงมา เมื่อฝักเพกาแก่เต็มที่แล้ว เปลือกที่ประกบกันอยู่ก็แห้งและแยกออกจากกัน เมื่อลมพัดมาก็จะพาเมล็ดเพกาที่มีปีกลอยไปได้ไกล ๆ

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

ชาวบ้านใช้ประโยชน์ในการรับประทาน โดยนำฝักอ่อนซึ่งมีรสขมเล็กน้อยมาต้มหรือเผาเป็นเครื่องจิ้มน้ำพริก หากมีจำนวนมากก็นำไปทั้งในรูปฝักดิบและที่แปรรูปแล้ว เปลือกของลำต้นนำมาย้อมผ้าให้สีเขียวอ่อน เนื้อไม้นำมาแกะสลักได้ หรือนำมาเป็นไม้ฟืนได้ พืชชนิดนี้เป็นสมุนไพรในการรักษาโรค ตามความเชื่อของชาวบ้านถือเป็นยารักษาความดัน ฝักแก่ มีรสขม แก้ร้อนใน ช่วยเจริญอาหาร เปลือก รสฝาดเย็น ขมเล็กน้อย เป็นยาสมานดับพิษโลหิต แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ฝนกับน้ำปูนใส ทาแก้อักเสบ ฟกช้ำ บวม ราก บำรุงธาตุ แก้ท้องร่วง เมล็ดแก่ใช้เป็นยาระบาย ใช้เข้าเครื่องยาจีนหลายชนิด



ตะคร้ำ

...     

ชื่ออื่น : ไม้หวีด ไม้หวิด ไม้ค้ำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Garuga pinnata Roxb.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ต้นผลัดใบ ที่ระดับความสูง 1,100 เมตร ลำต้นเปลาตรง มีความสูงได้ประมาณ 10-20 เมตร แตกกิ่งก้านสาขารอบ ๆ เรือนยอด โคนต้นเป็นพูพอน ตามกิ่งอ่อนและก้านช่อดอกมีขนสีเทาขึ้นปกคลุม เปลือกต้นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลปนเทาแตกเป็นสะเก็ดหรือเป็นหลุมตื้น ๆ ทั่วไป ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีนวล มีทางสีชมพูสลับ และมียางสีชมพูปนแดงไหลออกเมื่อสับดู โดยยางนี้หากทิ้งไว้นานจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองคล้ำ ส่วนกระพี้จะเป็นสีชมพูอ่อน และมีแก่นเป็นสีน้ำตาลแดง ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงเวียนสลับเป็นกระจุกบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะใบเป็นรูปมนรี ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ลักษณะของดอกเป็นรูประฆัง กลีบดอกเป็นสีครีม สีเหลือง สีเหลืองอ่อน หรือสีชมพู

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

นำมาทำอาหาร โดยถากเอาเปลือกหรือขูดส่วนเปลือกเป็นฝอยเป็นส่วนผสมในการทำลาบขม ใส่ในห่อนึ่ง หรือแกงได้ พืชชนิดนี้จะมีเม็ดใต้ใบซึ่งเมื่อเด็ดออกมาแล้วจะนำมาเป่าส่งเสียงเรียกหากันได้ เนื่องจากความเชื่อของชาวบ้านเมื่อเข้าป่า จะไม่ตะโกนเรียกชื่อกันและกัน แต่จะใช้วิธีเป่าไม้หวิด หรือทำเสียงอื่นๆ เรียกกันแทนการเรียกชื่อ สรรพคุณใช้รักษาอาการปวดท้อง แก้ท้องเสีย หรือนำมารับประทานคู่กับลาบดิบ เพื่อป้องกันอาการปวดท้อง มีรสหวาน เปลือกใช้ต้มอาบสำหรับสตรีหลังคลอด

ผักเบี้ยดิน

...     

ชื่ออื่น : ผักลืมผัว องุ่นดิน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lobelia nummularia Lam ชื่อพ้อง Pratia begoniifolia (Wall.) Lindl.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ล้มลุกทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ขึ้นที่ระดับความสูง 1,100 -1,800 เมตร รากออกตามข้อ ใบเรียงสลับ รูปไข่เกือบกลม โคนใบรูปหัวใจ ออกดอกเดี่ยวตามซอกใบ สีม่วงอมชมพู ผลรูปทรงรีหรือเกือบกลม ผลสุกสีม่วงอมแดง

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

ยอดและใบรับประทานสด จิ้มน้ำพริก รับประทานกับลาบ แกงเผ็ด สรรพคุณทางยา น้ำสกัดจากต้นแก้ท้องเสีย แผลในกระเพาะอาหาร และแก้กษัย

มะส้าน

...     

ชื่ออื่น : ส้านหลวง ส้าน ส้านแว้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dillenia aurea Sm.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ต้น ที่ระดับความสูง 1,000 เมตร สูง 4-13 เมตร ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปไข่แกมรี ปลายมนทู่ เนื้อใบสากหนา ก้านใบเป็นร่อง ดอกสีเหลืองสด มักออกเดี่ยวหรือไม่เกินสองดอกบริเวณปลายกิ่ง ผลรูปทรงกลม อวบน้ำ ผลแก่สีเหลืองอมส้ม

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

เปลือกของลำต้นมาต้มเป็นยาฝาดสมานแก้ท้องเสีย เป็นยาแก้ไข้หวัด ผลใช้ปรุงอาหารได้

กระบก

...     

ชื่ออื่น : มะมื่น บะมื่น ไม้มื่น

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Irvingia malayana Oliv. Ex. A.W. Benn

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลางถึงใหญ่ ระดับความสูง 150-300 เมตร เปลือกสีเทาอ่อนปนน้ำตาล ผิวเรียบแตกเป็นสะเก็ดเล็กน้อย ใบเดี่ยว ออกใบสลับ แผ่นใบหนา ช่อดอกออกที่ปลายกิ่ง กลีบดอก 5 กลีบ ผลทรงกลมรี มีสีเขียวเมื่อสุกสีเหลือง ผลสุกเป็นอาหารของสัตว์ มีเนื้อสีส้ม มีเมล็ด 1 เมล็ด เนื้อในเมล็ดสีขาว

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

เนื้อในเมล็ดกินได้ ช่วยบำรุงไต ไขข้อ เส้นเอ็น และขับพยาธิ น้ำมันจากเนื้อในเมล็ดใช้ทำอาหาร อาจนำมาคั่วกินเป็นของว่าง รสมัน หรือใช้ทำสบู่และเทียนไข ตำรายาพื้นบ้านล้านนา นำเปลือกต้นผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ ช่วยรักษาโรคหนองใน ส่วนเนื้อไม้ใช้สร้างบ้านเรือน และใช้ทำถ่านได้ดี

ตะแบกเปลือกบาง

...     

ชื่ออื่น : ไม้ป๋วย ไม้ปวย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lagerstroemia duperreana Pierre ex Gagnep.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ต้น ผลัดใบ ที่ระดับความสูง 100-400 เมตร ขึ้นตามป่าดิบแล้งและป่าเต็งรัง เปลือกบาง ใบรูปรี แผ่นใบเกลี้ยง ดอกสีม่วง กลีบดอกรูปรีกว้างเกือบกลม ผลรูปรีกว้าง เกลี้ยง หรือมีขนช่วงปลายผล

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

เนื้อไม้นำไปใช้ในงานวัสดุก่อสร้าง บางแห่งปลูกเป็นไม้ประดับเพราะให้ดอกสวยเต็มต้น และให้ร่มเงา บางแห่งปลูกเป็นไม้มงคล เพราะคำว่า แบก หมายถึงแบกไว้ ไม่ให้ตกต่ำ จึงนิยมปลูกเพื่อเสริมฐานะให้มั่นคง แข็งแรง สรรพคุณทางยา ใบช่วยรักษาเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ขับปัสสาวะ

สะเดา

...     

ชื่ออื่น : สะเลียม สะเดานา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis Valeton

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 20-25 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา ค่อนข้างหนา แตกเป็นร่อง ใบเป็นใบประกอบขนนก ออกเรียงสลับ ใบรูปหอก โคนใบโค้งมนไม่เท่ากัน ขอบใบเป็นจักคล้ายฟันเลื่อย ปลายใบเรียวแหลม แผ่นใบเรียบ ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อ ออกที่ปลายกิ่งขณะแตกใบอ่อน ดอกสีขาวนวลหรือสีเทา ในดอกมีน้ำมันหอมระเหย ทำให้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลสะเดามีลักษณะกลมรีคล้ายผลองุ่น ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองอมเขียว เมล็ดมีลักษณะกลมรี ผิวค่อนข้างเรียบ มีรอยแตกเป็นร่องเล็กๆ ตามยาว สีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาล

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

สะเดามีประโยชน์ทางยาเกือบทุกส่วนของต้น ได้แก่ ใบต้มกับน้ำช่วยล้างพิษในกระแสเลือด ช่วยย่อยอาหาร รักษาโรคเบาหวาน ยับยั้งการผลิตอินซูริน ต้านมะเร็ง ใบแก่ นำมาโขลกผสมกับน้ำทาทั่วศีรษะรักษาโรคเหา หรือสะเดาสดนำมาบดหรือตำผสมกับน้ำทิ้งไว้ 1 คืน ใช้เป็นยาฆ่าแมลง ใบและเมล็ด มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราตามเล็บมือเล็บเท้า ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย แก้ไขมาเลเรีย ยอดสะเดา ลวกหรือต้มรับประทานกับน้ำปลาหวาน

มะเดื่อปล้อง

...     

ชื่ออื่น : เดื่อปล้อง เดื่อป่อง เดื่อสาย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus hispide L.f.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรง เปลือกเรียบหนาสีเทาปนดำ บริเวณต้นและกิ่งมีลักษณะเป็นข้อปล้องคล้ายรอยควั่นชัดเจน ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวขุ่น ใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้าม ใบอ่อนมีขนสากคายมือ ท้องใบมีขนนุ่ม ใบแก่ขนหยาบ ดอกออกเป็นช่อบริเวณลำต้นและกิ่ง ดอกอ่อนสีเขียว ดอกแก่สีเหลือง ผลสดรูปกลมแป้น ก้นมีรอยบุ๋ม ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลืองน้ำตาล ด้านในผลมีเมล็ดเล็ก ๆ จำนวนมาก

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

ผลสุกใช้รับประทานได้ มีรสหวาน แต่ไม่นิยมเนื่องจากในผลมักมีแมลงหรือหนอนเจาะอยู่ภายในผล สามารถนำมาทำเป็นแยมได้ ช่อดอกSและผลอ่อนนิยมนำมารับประทานเป็นผักสด หรือต้มจิ้มกับน้ำพริก ใบอ่อนใช้รับประทานเป็นเครื่องเคียงจิ้มกับน้ำพริก ลาบ ผลดิบใช้รับประทานกับแกงบอนหรือหลามบอน เปลือกใช้ทำเชือก เนื้อไม้ใช้ทำฟืน มีสรรพคุณทางยาหลายอย่าง ได้แก่ ผลดิบตากแห้งต้มกับน้ำดื่มรักษาโรคโลหิตจาง แก้ร้อนใน กระตุ้นน้ำนม เปลือกต้มกับน้ำดื่มแก้มาเลเรีย เป็นยาบำรุง

กล้วยแดง

...     

ชื่ออื่น : กล้วยหก กล้วยป่า กล้วยไหล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Musa itinerans Cheeseman

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ล้มลุก แตกกอ มีไหลและแตกหน่อห่างจากต้นแม่ 1-2 เมตร ลำต้นสูง 6-8 เมตร กาบลำต้นด้านนอกสีเขียวอมเหลือง มีประดำบางส่วน กาบปลีด้านนอกสีแดงคล้ำ ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปขอบขนาน ปลายมน ดอกออกเป็นช่อโค้งลง ก้านช่อดอกมีขนประปราย ปลีมีใบประดับรูปไข่ ปลายมน เครือละ 5-6 หวี หวีละ 9-13 ผล ผลยาวประมาณ 10 ซม. ปลายทู่ โคนเรียว เปลือกผลสีเขียวหรือสีม่วงแดง เนื้อสีเหลือง มีเมล็ดจำนวนมาก

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

เป็นพืชที่ขึ้นในบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์แสดงว่าพื้นที่นั้นมีตาน้ำ เป็นพืชที่กินได้ทั้งต้น ต้มยำทำแกงได้ บนำมาใช้ห่อข้าว เปลือกผลสีชมพูอมม่วง ผลมีเมล็ดมากจึงไม่นิยมรับประทาน ภูมิปัญญาชาวบ้านแต่เดิมจะนำต้นกล้วยแดงมาหมักน้ำ น้ำจากต้นกล้วยจะสามารถดับไฟได้ดี ซึ่งคาดว่าเป็นน้ำยางจากกล้วยที่มีสารช่วยดับไฟได้

สะค้าน

...     

ชื่ออื่น : จักค่าน จะค่าน จั๊กค่าน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper interruptum Opiz.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้เถาเลื้อย ลำต้นขนาดใหญ่ ทุกส่วนเกลี้ยง เนื้อใบเหนียวและหนามาก ใบบนลำต้นมีขนาดเล็กกว่ามาก แผ่นใบรูปสามเหลี่ยมแคบเรียวไปทางปลายใบ ฐานใบเว้าลึกพูมน ปลายใบแหลม ใบประดับมีก้าน ช่อผลยาว 2-18 ซม. ผลกลม เมื่อแก่สีเขียวแกมเหลือง เมื่อสุกมีสีแดง

การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ

ชาวล้านนาถือว่าเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง เพื่อเพิ่มความหอมและดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ นิยมใส่ในแกงชนิดต่าง ๆ บางทีเรียก จักค่านเนื้อ/จักค่านจิ้น มีรสชาติออกเผ็ด ซ่าลิ้น สรรพคุณ สะค้านจัดอยู่ในสมุนไพรกลุ่มร้อน ใช้เถาฝานเป็นแว่น ตากแดดให้แห้ง ต้มในน้ำรักษาอาการโดยการถอนพิษไข้ บำรุงกำลัง หรือนำไปดองเหล้าหรือน้ำผึ้ง ปัจจุบันนำมาแปรรูปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น มีทั้งชนิดชงดื่ม ชนิดผง ชนิดแคปซูล ชนิดเม็ด ชนิดลูกกลอน ช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร